เมื่อหลายปีก่อน ค่านิยมในการครอบครองของคลั่ง (ขลัง) อย่างหนึ่งคือ จตุคาม แพร่กระจายทั่วประเทศ หลายคนไม่มีสิ่งนี้ ก็จะพยายามที่จะหามาครอบครองให้จงได้ จากราคาเพียงไม่กี่บาทกลายเป็นหลายบาท กระตุ้นเศรษฐกิจครอบครัว ตัวบุคคลและองค์กรได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนมีกระแสหนึ่งที่ออกมาท้าทายจตุคาม โดยไม่เกรงกลัวต่อผลร้ายจากจตุคาม นั้นคือกระแส "จตุคำ" ของหลวงพ่อพยอม แห่งวัดสวนแก้ว
มารอบนี้ ของคลั่งอย่างหนึ่งค่อยๆแพร่กระจาย กลายเป็นกระแสค่านิยมกระตุ้นเศรษฐกิจครอบครัว ตัวบุคคลและองค์กรอีกเช่นกัน หลายคนกำลังคลั่งไคล้กับ "ลูกเทพ" ซึ่งน่าจะมีที่มาจากกุมารทอง รักยม แมวเรียกทรัพย์ ฯลฯ ทำนองนี้ อย่างเมื่อเช้า ระหว่างผ่านบ้านหลังหนึ่ง มีหญิงสาววัยเกือบๆ วัยกลางคน จำนวน ๒ คน กำลังอุ้มลูก แล้วแต่งตัว เตรียมป้อนข้าว และพูดคุยกัน ซึ่งดูเหมือนกำลังมีความสุขกับการเลี้ยงลูก ตามประสาแม่ๆ แต่อนิจจา หันไปอีกที "ตุ๊กตานี่หว่า" "เฮ้ย อะไรเนี่ย" ผมอุทานในใจ แล้วก็ยิ้มๆอย่างขันๆต่อสังคม แต่ไม่ได้เกลียดชังหรือรังเกียจอะไร เพราะเข้าใจว่า แต่ละคนก็คงหาที่พึ่งตามที่ตนคิดถึงได้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินทางมาที่ทำงานและคิดถึงเรืองที่เพื่อนพูดเกี่ยวกับ "ลูกเทพ" เมื่อสองสามวันก่อน แล้วคิดไปถึง "จตุคำ" ของหลวงพ่อพยอม ทำให้คิดว่า หลวงพ่อพยอมจะสร้างอะไรมาทวนกระแสลูกเทพกันหนอ
คนเรานี้ก็แปลกนะ คนจริงกับคลอดแล้วทิ้ง กองขยะบ้าง โรงพยาบาลบ้าง บาปหนักทำแท้ง แต่กับตุ๊กตาสมมุติให้เป็นลูกเทพ กับได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี สิ่งที่ใกล้ตัวกับมองข้ามไปเทพประจำบ้านคือ คุณพ่อ คุณแม่ และลูกของเรา กลับมองไม่เห็นกลายเป็นภาระที่น่าเบื่อ สังคมเกิดอะไรขึ้น?
ที่ยึดเหนื่ยวทางใจ.....ก็ดูเป็นเหตุผลที่ดีนะ
แต่....ก็คงต้องมีสติสำหรับ
คิดพิจารณาด้วยว่า
สิ่งนั้น ๆ ใช่ หรือไม่ เหมาะสม
เพียงใด แค่ไหน ???
อันนี้..ลูกเทพ (เทวดา) ของแท้ เต็มบ้านเต็มเมืองละ ๕๕๕๕๕