ช่วงเช้าของวันนี้ ผมนั่งฟังเพลง "ที่นี่ไม่มีครู" ของวงแฮมเมอร์อยู่หลายรอบ และได้เผื่อเพื่อนๆบางคนด้วย เนื้อเพลงเป็นเสมือนเสียงกู่จากบ้านป่าดงดอยที่รอคอยครูมาสอนสั่งวิชาความรู้ให้เด็กๆ แต่เป็นการรอคอยครูอย่างไร้ความหมาย เพราะไม่มีครู เพลงดังกล่าวนี้สะท้อนวิถีของผู้คนชนบทในอดีต อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ครูน่าจะเข้าถึงผู้คนในชนบทแล้ว
ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังมีความคิดแย้งในตัวเองอีกว่า ในเมืองหลวงนั้น มีโรงเรียนมากมาย มีสถาบันการศึกษาตั้งแต่ระดับต้นไปถึงระดับสูง มีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ยึดอาชีพครู ดังนั้น จึงเป็นไปได้กับการที่เมืองหลวงนั้นมีครูอยู่มาก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามีครู ในตอนเช้าเช่นกัน ผมได้อ่านบันทึกของนาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย เรื่อง "ฝ่ามือสวรรค์" บันทึกดังกล่าวนี้มีเนื้อหาให้เห็นถึงระบบการเรียนในอดีต และความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ตลอดถึงความหมายของ "คำ" อัน "มีที่มาที่ไป" สุดท้ายท่านอาจารย์ทองย้อยเขียนไปจบที่ "ไม่มีฝ่ามือครูเที่ยง บุญมาก ไม่มี นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย" การตั้งชื่อเรื่องของท่านอาจารย์ทองย้อย คล้ายกับหนังจีน แต่เพิ่งตีความออกเมื่อท่านไปสรุปตอนท้าย โดยผู้อ่านต้องเชื่อมโยงระหว่างชื่อเรืองกับบทสรุปด้วยตนเอง จึงจะได้ข้อความว่า "แท้จริง ฝ่ามือสวรรค์ คือฝ่ามือของครู" จากข้อเขียนของท่านอาจารย์ทองย้อย ที่เขียนถึงครู ตลอดถึงการนึกถึงครูในอดีตที่ผ่านชีวิตของเรามา แล้วมองบางสถานการณ์ความเป็นครูในสังคมเมืองที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม จึงเป็นที่มาของชื่อเพลงว่า "ฉันไม่ใช่ครู"
อย่า....อย่ามาเรียกฉันว่าครู ฉันรู้ตัวอยู่ความเป็นครูที่คนใฝ่ฝัน อุดมการณ์อุดมครูไม่รู้อยู่ไหนเหมือนกัน นับวันเหือดแห้งแล้งพลัน กับสังคมนิยมเงินตรา ฉัน...ต้องมีต้องกินต้องใช้ เสื้อผ้าหน้าใสต้องแต่งต้องงามหรูหรา คลั่งไคล้อุดมการณ์รถบ้านจะมีที่ไหนบอกมา พอเพียงไม่ได้ดอกหนา เพราะฉันเกิดมาในยุคสังคมใหม่ๆ มา..สิจ๊ะ มาเข้าโรงเรียนกวดวิชา อยากได้ความรู้ไหมล่ะ เอาเงินตรามาแลกกันไป มา...สิจ๊ะ อยากได้เคล็ดความรู้ใหม่ สถาบันของฉันมีขาย ไม่มีเงินจ่ายให้ไม่ได้ดอกนะคนดี มา...สิจ๊ะ มาเรียนกับฉันสิจ๊ะ อยากให้รู้ว่า โน๊ตบุ๊คแท๊ปเล็ตแจกฟรี ไมใช่เงินฉันดอก คือเงินเธอนั่นแหละคนดี มาเลยที่นี่ยังมีของฟรี ให้เธอหยิบใช้เอาไป มี...ฉันมีแค่เพียงคราบครู วิญญาณของครูไม่รู้อยู่แห่งหนไหน คร่ำครึหรือเปล่าทุ่มเทชีวิตเพื่อเด็กมากมาย อาชีพฉันอาชีพครูรู้ไหม แต่ฉันไม่ใช่คุณครู
...................................
เพราะมีครูจึงมีฉันในวันนี้...ครูคนที่ทุ่มเทกายใจไม่หวั่น
คอยสอนสั่งมอบวิชาสารพัน...หวังศิษย์นั้นเติบโตใหญ่ไม่เดือดแด
ศิษย์ได้ดีครูก็ดีกับศิษย์ด้วย....ศิษย์ระกำเจ็บป่วยหนักเหนื่อยแย่
ครูไม่สุขครูเป็นทุกข์ครูเหลียวแล...ประหนึ่งแม่คนที่สองครองใจคนฯ
คิดไปแล้วครูกับหมอก็เกือบจะเปลี่ยนไปในแนวเดียวกันแล้วนะคะ
แต่ก็ยังมีคนรุ่นใหม่อย่างน้อยหนึ่งคน (หนุ่มน้อยคนโตของที่บ้าน) ที่เขาเคยพูดให้แม่อย่างเราประทับใจ เพราะเขาสอนพิเศษให้คนอื่นหลายๆรายโดยพยายามไม่รับค่าตอบแทน (บางทีก็ต้องรับด้วยความจำยอม) เขาบอกว่า เขาคิดว่าความรู้ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะให้โดยมีค่าตอบแทน สำหรับตัวเองก็คิดว่า ครูที่ดีคือผู้ที่สอนสั่งและให้ความรู้ด้วยจิตวิญญาณ ไม่ได้ใช้การเป็นครูเพื่อหารายได้ หรือถ้าจำเป็นจริงๆที่ต้องใช้การสอนเพื่อหารายได้ ก็ต้องซื่อสัตย์ต่องานสอนนั้นๆเพราะคนละประเด็นกับความเป็นครู
ชอบบันทึกนี้มากๆเลยคะ ขอแชร์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ได้ไหมคะ ตอนนี้คำว่า อุดมการณ์การสอนของครูในศตวรรษที่21 นี้ดูเลือนราง ลดน้อยไป เพราะการศึกษา ณ ตอนนี้กลายเป็นธุรกิจไปเสียส่วนมาก ซึ่งแตกต่างจากการเรียนแบบดั้งเดิมคือ การอบรมสั่งสอนของครูที่ใช้ไม้เรียวช่วยปรับปรุงพฤติกรรมของนักเเรียน จึงทำให้นักเรียนรุ่นก่อนๆมีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนวัดนี่ยกย่องเลยคะว่าเขามีคุณภาพจริงๆ แตกต่างจากสมัยนี้มากๆ ที่ครูต้องคอยทำตามนักเรียนเป็นฝ่ายตอบรับความต้องการของผู้ปกครอง การสอบที่มีมากมายจนเด็กไม่มีเวลาใช้ชีวิตบนโลกกว้าง ได้เล่นสนุกกัน มีแต่ตารางเรียนพิเศษที่มากกว่าตารางเรียนปกติเสียอีก
จะขัดขวางทางธุรกิจคงยากอยู่ครับ แม้แต่ประเทศเองก็ยังสนับสนุนธุรกิจครับ