​เมื่อถูกทัก.....จะทำตนอย่างไร


เมื่อถูกทัก.....จะทำตนอย่างไร

ถวิล อรัญเวศ

รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต ๔

หมู่นี้ มักจะถูกทักอยู่บ่อย ๆ ว่า ไม่สบายหรือ ทำไมจึงผอมจัง ?........ป่วยหรือ ?..

นี้คือคำห่วงใจของพี่ ๆ น้อง ๆ หรือเพื่อน ๆ ญาติสนิท มิตรสหาย ตลอดทั้งผู้บังคับบัญชา ทั้งนี้ เพราะเขาอาจจะเห็นว่า แต่เดิมทรวดทรง หรือร่างกายเราเคยอ้วนประดุจคำที่เขาพูดเล่น “พุงอึ่งเพ้า เห็ดตะปู้” อะไรทำนองนั้นทำไมจึงสามารถลดหุ่นได้มากขนาดนี้

ก่อนอื่น ผมจะขอเล่าพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผมก่อนจะไปตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อกลางปี 2558 ให้ฟังก่อน คือผมชอบรับประทานสิ่งต่อไปนี้

  • ชอบดื่มน้ำส้มเขียวหวาน วันละสองขวด ทุกวันทำการ กล่าวคือในหนึ่งอาทิตย์มี 7 วัน
  • ชอบดื่มน้ำขวดอิชิตัน ขวดละ 20 บาท รสหรือสูตรดั้งเดิม ความหวานของ
  • ชอบดื่มนมเย็น ปรุงเองจากน้ำขวดแคลิบอย เขียว เหลืองแดง ใส่โซดา ใส่
  • ชอบรับประทานขนมหวาน เช่น รสกาแฟ ลอดช่อง แตงโม
  • ขอบดื่มน้ำเย็น ใส่น้ำแข็ง ถ้าไม่มี ไม่ร่อย
  • ขอบดื่มกาแฟ โดยเฉพาะ ทรี อิน วัน สรรหามารับประทานเกือบจะครบทุกรสก็ว่าได้
  • ขอบรับประทานข้าวหลาม
  • รับประทานข้าวเหนียว เป็นวิถีชีวิต กระติบเล็ก 3-5 ค่อยอยู่ กระติบใหญ่ 1-2 ก็
  • ชอบดื่มน้ำมาก โดยเฉพาะต้องขวดลิตรจึงจะอิ่ม และดื่มขวดลิตร วันละ 2-3 ขวด

ผมจะดื่มราว ๆ 5 วัน

น้ำขวดอิซิตันก็พอสมควร

นมข้น ทำนองนี้

อยู่

หรือมากกว่านั้น

ที่เล่ามา คือเหตุการณ์เมื่อสองปีที่ผ่านมาผมเคยตรวจสุขภาพเมื่อราวปี 2553 ตอนนั้น

ผลตรวจบอกว่า มวลกายอ้วน น้ำหนักเกินกว่าปกติ ราว 80 กก. น้ำตาลไม่ปรากฏ แคเลสเตอรรอล

ไม่มี ยูริก ก็ไม่มี หัวใจปกติ ปอดปกติ เลือดปกติ

พอมาตรวจปี 2558 ราว ต้นเดือน มิถุนายน 2558 ผลตรวจ อย่างอื่น ปกติหมด ยกเว้น น้ำตาล มากกว่าปกติครับ แต่อาการของโรคเบาหวานของผมไม่มีแสดงอการ เพราะ คนที่เป็นโรคเบาหวานคุณหมอบอกผมว่า จะมีลักษณะหรืออาการ ดังนี้

อาการเบื้องต้นของ เบาหวาน

1. ปวดปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน

2. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น

3. กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง

4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง

5. เบื่ออาหาร

6. น้ำหนักตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน

7. ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก

8. สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน

9. อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง

10. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไตโดย เบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะมีอาการเหล่านี้บางอย่าง หรืออาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย

11. เบื่ออาหาร

12 .อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง

13. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไต

อาการของโรคเบาหวานที่ตรวจพบได้

1. ระดับน้ำตาลในเลือดสูง

ระดับน้ำตาลภาวะปกติภาวะเสี่ยงก่อนรับประทานอาหารน้อยกว่า 100 mg/l100-126 mg/lหลังรับประทานอาหารน้อยกว่า 140 mg/l140-199 mg/l

2. อาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อาการปัสสาวะบ่อย เป็น อาการเริ่มแรก โดยเฉพาะเวลากลางคืน อาจจะบ่อยถึง 3-4 ครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค เนื่องจากในกระแสเลือดมีน้ำตาลปนอยู่ในปริมาณสูง ไตของเราจึงทำการขับออกมาเป็นปัสสาวะ เมื่อเกิดอาการปัสสาวะบ่อยครั้งขึ้น ก็จะทำให้ร่างการสูญเสียน้ำไป สังเกตได้ว่าผู้ป่วยเบาหวานจะดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ และบ่อยครั้งกว่าคนปกติ

3. อ่อนเพลียและน้ำหนักลด

เนื่องจากร่ายกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไป ใช้เป็นพลังงานของเซลล์ได้ จึงทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่ออาการหนักขึ้น ร่างกายก็จะนำไขมันสะสมมาใช้แทน จึงเป็นผลต่อเนื่องให้น้ำหนักลดลง

4. ติดเชื้อบ่อยกว่าคนปกติ

อาการติดเชื้อของผู้ป่วยเบาหวาน สังเกตง่าย ๆ กรณีติดเชื้อทางผิวหนัง เมื่อเกิดแผลขึ้น จะหายช้ากว่าปกติ นอกจากอาการติดเชื้อ ยังอาจจะมีอาการชาตามอวัยวะต่าง ๆ รวมไปถึงอาการ “เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ด้วย

แม้ว่าโรคเบาหวานจะสามารถเกิดได้กับทุกคนก็จริงอยู่ แต่ถ้าดูจากหัวข้อข้างต้นแล้ว สาเหตุหลัก ๆ ที่จะทำให้เราเป็นโรคเบาหวาน คือ ความอ้วน หรือ น้ำหนักเกิน อันนี้ก็คงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเราเองแล้ว ว่าจะดูแลตัวเองได้ดีเพียงใด หรือว่าเราเองนี่แหละที่มีพฤติกรรมอันเสี่ยงต่อการตกเป็น “ผู้ป่วยเบาหวาน” ขึ้นอยู่ที่เราแล้วล่ะ!

เบาหวาน diabetes

เบาหวาน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ อันส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกิน โรคเบาหวานจะมีอาการเกิดขึ้นเนื่องมาจากการที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม ซึ่งโดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานภายใต้การควบคุมของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลที่เกิดขึ้นทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ในระยะยาวจะมีผลในการทำลายหลอดเลือด ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่สภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

โรคเบาหวานนี้เปรียบเทียบได้ง่ายๆ โดยเปรียบร่างกายเราเป็นระบบปั๊มน้ำ และน้ำในระบบก็คือเลือดของเราโดยปรกติแล้วปั๊มน้ำก็จะทำงานอย่างปรกติ แต่เมื่อมีการทำให้น้ำในระบบเกิดความข้นขึ้น (ก็คือการเติมน้ำตาลลงไปในน้ำ) น้ำในระบบก็จะมีความหนืดขึ้น ปั๊ม (หัวใจ) ก็จะต้องทำงานหนักขึ้น ท่อน้ำ(หลอดเลือด)ก็ต้องรับแรงดันที่มากขึ้น ดังนั้นคนที่เป็นโรคเบาหวานก็จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนกับอวัยวะต่างๆเพิ่มขึ้นได้

ปี 2550 พบผู้ป่วยเบาหวานแล้วถึง 246 ล้านคน โดยผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 4 ใน 5 เป็นชาวเอเชีย

เบาหวาน เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้นทุกปีจนมีการกำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันเบาหวานโลกเพื่อให้มีการรณรงค์ป้องกันให้เป็นที่แพร่หลายขึ้น

อินซูลิน กับ เบาหวาน

อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่ในการนำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อใช้ในการสร้างพลังงานและสร้างเซลล์ต่างๆ โดยปรกติแล้วเมื่อมีน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดตับอ่อนก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่ง อินซูลิน แล้วอินซูลินก็จะเข้าจับน้ำตาลเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งร่างกายมี อินซูลิน ไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

ประเภทของ เบาหวาน

เบาหวาน สามารถแบ่งออกได้เป็น2ชนิด ได้แก่

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน(autoimmune) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน(ketones) สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถึงตายได้โรค

เบาหวานชนิดที่ 2 เป็น เบาหวาน ที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด

อาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน

มักจะเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปีแล้วไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง ภาวะแทรกซ้อนทาง

1. สายตา (Diabetic retinopathy) เกิดจากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium ของ หลอดเลือดเล็กๆ ในลูกตา ทำให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น Basement membrane มากขึ้น ทำให้ Basement membrane หนา แต่เปราะ หลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่าย เลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมา และมีส่วนทำให้ Macula บวม ซึ่งจะทำให้เกิด Blurred vision หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มาตกกระทบยัง Retina ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง ตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด

2. ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy)ไตมักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ Glomeruli จะทำให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปี นับจากแรกเริ่มมีอาการ





3. ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) เบาหวาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เช่นรู้สึกชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด ในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ(impotence)

4. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease) เบาหวาน เป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิด โรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเกิดอาการ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วย เบาหวาน บางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจาก เบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของผู้เป็น เบาหวาน คือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่นอาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป ดังนั้นผู้เป็น เบาหวาน บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ หัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

5. โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) ผู้เป็น เบาหวาน จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิดหลอดเลือดตีบได้สูง เพราะ เบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่งร่างกายและถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมอง ก็จะเกิดอัมพาตขึ้น โดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็น โรคเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า โดยจะมีอาการเบื้องต้นสังเกตุได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใดหรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงโดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง

6.โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral vascular disease)

7. แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer) ผู้ที่มีโอกาสเป็น โรคเบาหวาน

เบาหวาน พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในคนอายุกว่า 40 ปีขึ้นไป คนที่อยู่ในเมืองมีโอกาสเป็น เบาหวาน มากกว่าคนในชนบท คนอ้วนที่น้ำหนักเกิน โดยดูจากดัชนีมวลกาย ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย และหญิงที่มีลูกดกโดยเฉพาะผู้มีประวัติคลอดบุตรมีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า4กิโลกรัม จะมีโอกาสเป็น เบาหวานได้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันลักษณะการบริโภค และกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันส่งผลให้มีคนเป็น เบาหวาน เพิ่มมากขึ้น และการพบผู้ป่วยที่อายุน้อยที่เป็น เบาหวาน ก็เพิ่มสูงขึ้น


การป้องกันการเป็นเบาหวาน

1.ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอันจะก่อให้เกิดโรคเบาหวาน

สิ่งที่ผมทำได้จากคำแนะนำของคุณหมอ ทำได้ทุกอย่าง คือไม่ดื่มน้ำส้มเขียวหวาน ไม่ดื่มดื่ม

น้ำขวดอิชิตัน ไม่ดื่มดื่มนมเย็น ปรุงเองจากน้ำขวดแคลิบอย เขียว เหลืองแดง ใส่โซดา ใสนมข้น ไม่รับประทานขนมหวาน เช่น รสกาแฟ ลอดช่อง แตงโม ฯลฯ ไม่ชอบดื่มน้ำเย็น ใส่น้ำแข็ง ไม่ดื่มกาแฟ โดยเฉพาะ ทรี อิน วัน และไม่รับประทานข้าวหลาม ยกเว้นการรับประทานข้าวเหนียว ผมยังทานอยู่

ความจริง ผมรับประทานข้าวเหนียวก็ได้ ข้าวจ้าวก็ได้ เพราะชีวิตผมในอดีต เติบโตมาทั้งจาก

ข้าวเหนียว และข้าวจ้าวพอ ๆ กัน เพราะผมอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2522-2527

2.ควบคุมโภชนาการ ให้มีความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย รวมไปจนถึงการใช้ยารักษาโรค

3.ควรตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ โดยปรึกษาแพทย์ว่าควรตรวจเช็คเมื่อใด และ ระยะเวลาห่างในการตรวจที่เหมาะสม

4.ยาบางชนิดหรือยาสมุนไพร อาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือด จะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยา หรือ สมุนไพร เหล่านี้


สรุป

เมื่อถูกทัก ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไร เพราะตัวเอง
จะรู้ตัวเองที่ดี่สุด แต่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ
โดยเฉพาะหมอ ห้ามอะไร ก็ควรปฏิบัติตามนั้น
เราเอง ต้องรักษาสุขภาพเอง ถ้าไม่ทานยา เราต้อง
ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกับสิ่งที่จะก่อให้เกิดเบาหวาน
เช่น อาหารจำพวกหวาน ๆ มาก ๆ ควรงด พยายาม
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพจิตใจ
ให้ร่าเริง แจ่มใส






0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000…………………………………………………………………………………………………………………….11111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111100000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

หมายเลขบันทึก: 599612เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2016 00:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม 2016 00:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท