ก่อนวันเด็กแห่งชาติจะเริ่มต้นในวันนี้ (วันที่ 9 มกราคม 2559) กองกิจการนิสิต ร่วมกับองค์การนิสิต มีเวทีประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกันอย่างเป็นทางการ – อย่างเป็นทางการในที่นี่ คือ องค์การนิสิตมาร่วมประชุม 2 คน ขณะที่กองกิจการนิสิต มาร่วมประชุมเป็น 10 คน !
โดยธรรมเนียมนิยม-ก่อนประชุมเวทีนี้ องค์การนิสิตกับสโมสรนิสิต สภานิสิตและชมรมต่างๆ จะประชุมหารือวางกรอบแนวคิด แนวปฏิบัติร่วมกันมาแล้วอย่างน้อยก็ (ควร) 1 ครั้งในช่วงก่อนปิดเทศกาลส่งท้ายปีเก่า เพราะกลับมาหลังปีเก่า จะได้มีเวลาตระเตรียมการงานได้ทันท่วงที
ว่าไปแล้ว ผมว่าโครงการวันเด็กแห่งชาติ ไม่ใช่กิจกรรมอะไรที่ซับซ้อนซ่อนปมอันใดมากนักหรอก เป็นกิจกรรมที่ออก “บันเทิงเริงปัญญา” อย่างเต็มรูปแบบเสียด้วยซ้ำไป ไม่ต้องปวดกะโหลกกะลาในเรื่องประชาสัมพันธ์ให้มากความ เพราะคนทั้งประเทศรู้ดีอยู่แล้วว่า
วันเด็ก: ส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนความเป็น “อัตลักษณ์นิสิต มมส”
ผมตั้งคำถามกับนายกองค์การนิสิตแบบหยิกเจ็บๆ ตามสไตล์ของผมว่า “วันเด็ก นอกจากคำขวัญวันเด็กแล้ว องค์การนิสิตมีกรอบแนวคิด นโยบายการจัดกิจกรรมอย่างไร”
เป็นการตั้งคำถามที่ไม่ปรารถนาคำตอบเท่าใดเลย เพราะกระบวนการคำถามเหล่านี้มันควรถูกตั้งมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว นับตั้งแต่การประชุมร่วมระหว่างองค์กรนิสิต สู่การพิจารณาใน “สภานิสิต” และขออนุมัติต่อรองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิต โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการและบุคลากรในสังกัดกลุ่มงานกิจกรรมนิสิตเป็นผู้ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” คอยหนุนเสริม
ใช่ครับ-การเป็นพี่เลี้ยง คงไม่ใช่คอยหนุนเสริมแต่เรื่องจัดแต่งเวที ต้อนรับขับสู้ผู้หลักผู้ใหญ่ราวกับ “ช้างเหยียบนาพญาเหยียบเมือง” เพราะแท้ที่จริงแล้ว “เด็กๆ และชาวบ้าน” จากชุมชนนั่นแหละคือกลุ่มคนที่เป็นพระเอกและนางเอกที่เราต้องต้อนรับขับสู้และออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้กับพวกเขาเป็นอย่างดี มิใช่แค่สรรหา “ขนมนมเนย ตุ๊กตา” มาแจก –
เช่นเดียวกับการตั้งคำถามสู่ระบบในทำนองเดียวกันว่า “มหาวิทยาลัย หรือผู้บริหารมีนโยบายใดเกี่ยวกับกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ”
ครับ-เป็นคำถามที่ไม่พึงปรารถนาซึ่งคำตอบ เพราะเวทีที่กำลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี่ไม่ใช่ระยะต้นน้ำที่จะมาหนุนเสริม “ความคิด” หรือปรัชญาอันใด ระยะนี้คือระยะที่กำลังจะปฏิบัติการ เหมือน “ผีกำลังจะถึงป่าช้า” แล้ว คงยากที่จะหันเหกลับไปปรับจูนกันใหม่ แต่ที่แน่ๆ คำถามของผม คือ การฝากให้ทบทวนถึง “ระบบและกลไก” ของการจัดกิจกรรมว่าด้วยเรื่องนี้ที่ต้องต่อยอดในปีหน้า พร้อมๆ กับการฝากทบทวนเรื่องบทบาทหน้าที่ของ “พี่เลี้ยง” ว่าโดยแท้แล้วต้องหนุนเสริมอะไรแก่นิสิต
ในเวทีดังกล่าวนั้น ผมสื่อสารให้คิดตามว่าวันเด็กแห่งชาติ คืออีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนตัวตนความเป็นอัตลักษณ์นิสิต (เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน) เพราะกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติมีสถานะหนึ่งในการบริการสังคม อย่างไม่ผิดเพี้ยน ดังนั้นนิสิต หรือผู้นำนิสิต จึงควรต้องทำความเข้าใจกับสถานะเช่นนี้ให้แน่นหนัก เป็นการตระหนักมาตั้งแต่ระยะต้นน้ำ (ต้นความคิด) ถ้าเข้าใจย่อมหมายถึงการตระหนักและมีแรงบันดาลใจที่จะ “ออกแบบกิจกรรม” ให้มีคุณค่าและมีผลต่อการหนุนเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก
วันเด็ก มมส : วันเด็กที่แสดงตัวตนของสถาบันอุดมศึกษา
เป็นเวลายาวนานเลยทีเดียวที่องค์การนิสิตปักหมุดจัดกิจกรรมวันเด็กในมหาวิทยาลัยฯ โดยไม่ไปรวมจัด ณ ศูนย์กลางของจังหวัด เพราะต้องการให้บริการต่อชุมชนแถบนี้ เช่น ขามเรียง-ท่าขอนยาง-เขวาใหญ่ เสมอเหมือนการกระจายพื้นที่ความรับผิดชอบต่อสังคมให้กว้างขวางและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
ในมุมของผม-กิจกรรมวันเด็กที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยควรคิดคำนึงถึงความเป็นสถาบันระดับ “อุดมศึกษา” อย่างที่สุด เริ่มตั้งแต่การสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่ปล่อยปละให้เป็นความรับผิดชอบของ “องค์กรนิสิต” เท่านั้น
ครับ-ในทุกๆ หน่วยงานต้องมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้ มาออกบูธได้ก็ต้องมา มาไม่ได้ก็ฝากนิสิตออกบูธแทน มาไม่ได้ก็สนับสนุนสิ่งของ
ส่วนองค์กรนิสิตก็เช่นกัน ย่อมต้องตระหนักถึงเวทีเหล่านี้ร่วมกัน การจัดแสดงบูธหรือซุ้มอาจไม่จำเป็นต้องมีแต่เฉพาะข้าวของที่เน้นแจกเป็นรางวัลเท่านั้น สิ่งต่างๆ ที่เป็นผลผลิต ผลงานของนิสิตก็เอามาจัดนิทรรศการได้ เพราะมันคือ “สื่อการเรียนรู้” มิใช่เอะอะในบูธก็มีแต่ “ของแจก”
นอกจากนั้น “ของที่นำมาแจก” ผมก็ตั้งประเด็นเหมือนกันว่าควรเป็นข้าวของเชิงคุณภาพ มิใช่เอะอะลูกอม ขนมกรุบกรอบที่ไม่มีผลดีต่อระบบสุขภาพของเด็กๆ
ครับ-ในอดีตที่ผมเคยดูแล ผมย้ำเรื่องนี้มาก กิจกรรมที่เกิดขึ้นต้องแสดงความเป็นสถาบันอุดมศึกษาอยู่มิใช่ย่อย แต่ละองค์กรต้องมีความเป็นวิชาการ-วิชาชีพของตนเอง ไม่ใช่เอาง่ายเข้าว่า-ง่ายในที่นี้หมายถึงแจกขนมนมเนยเอาสนุก จนไม่คิดว่ากิจกรรมอะไรที่พอจะหนุนเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้บ้าง
วันเด็ก มมส : ความง่ายงาม และความพยายามที่ยังต้องพยายามร่วมกันต่อไป
วันเด็กปีนี้เป็นอีกปีที่ยังไม่สามารถเชื่อมร้อยเทศบาลตำบลขามเรียงเข้ามาร่วมเป็น “เจ้าภาพ” ร่วมกันได้ แต่กระนั้นองค์กรนิสิตก็ยังเดินหน้าทำหน้าที่ของตนเองในแบบ “ทำไปเรียนรู้ไป” อย่างไม่อิดออด
ปีนี้ผมเห็นตัวตนขององค์กรนิสิตหลายองค์กรสร้างสรรค์กิจกรรมขึ้นมาในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” อย่างน่ารัก เช่น
ครับ-กิจกรรมเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์อัตลักษณ์ของการช่วยเหลือสังคมเท่านั้น แต่สื่อให้เห็นภาพ “ตัวตน” (ทุนทางปัญญา) และ “วิชาชีพ” ของแต่ละหลักสูตรแต่ละองค์กรอย่างเด่นชัด รวมถึงการสะท้อนความเอาจริงเอาจังของการจัดกิจกรรมต่อการบริการสังคมไปในตัว
หากแต่ปีนี้ ... ส่วนหนึ่งที่ผมเสียดายมากเลยก็คือ ผมไม่ค่อยเห็นมุมกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ปกครองกับเด็กๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันเท่าใดเลย ผมไม่เห็นมุมกิจกรรมที่ประกวดภาพวาดอย่างเป็นรูปธรรม ไม่เห็นมุมบริการเรื่องสุขภาพที่เป็นรูปธรรมภายใต้การขับเคลื่อนของ “คณะ” เหล่านั้นเฉกเช่นในอดีต
แน่นอนครับ-ผมคิดว่ากิจกรรมเหล่านี้ องค์การนิสิต ไม่จำเป็นต้องมา “แบกรับ” เองก็ได้ กระจายงานไปตาม “วิชาชีพ” ให้ได้มากที่สุด กำหนดกรอบแนวคิดที่ชัดเจนและหนักแน่นก็พอแล้ว ยกตัวอย่างเช่น
สุดท้าย
ต้องขอบคุณน้องๆ องค์กรนิสิตทุกคนทุกองค์กรที่ปลีกตัวมาร่วมสร้างพื้นที่การเรียนรู้ในวันนี้ร่วมกัน บางคนอาจมาเพราะหน้าที่ บางคนอาจมาเพราะต้องการทวนทักถึงวัยวันแห่งความเป็นเด็กของตนเอง หรือมาด้วยเหตุผลหลากเหตุผล –
แต่การมาก็ช่วยให้นิสิตได้เรียนรู้ถึงภาระหน้าที่ของการ “เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน” (อัตลักษณ์นิสิต) อันเป็นมิติหนึ่งของการบริการสังคมและการศึกษาเพื่อรับใช้สังคมผ่าน "กิจกรรมนอกชั้นเรียน” หรือ “กิจกรรมนอกหลักสูตร” เพราะถ้าไม่มาย่อมไม่เกิดการเรียนรู้ ไม่ลงมือทำก็ไม่รู้ – เว้นแต่ลงมือทำแล้วแต่ไม่สรุปผลการเรียนรู้ก็จะไม่รู้ !
และที่สำคัญ บางทีปีหน้าฟ้าใหม่อาจต้องมานั่งคุยกันจริงๆ เหมือนในอดีตว่าวันเด็กแห่งชาติในรั้วอุดมศึกษาอย่างเราๆ ควรเป็นเช่นใด “บันเทิงเริงปัญญา” แบบใดถึงจะเหมาะควรต่อความเป็นมมส ที่ประกาศเอกลักษณ์ (เป็นที่พึ่งของสังคมและชุมชน) และอัตลักษณ์นิสิต (เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน) หรือปรัชญา (ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน)
เช่นเดียวกับการนั่งคุยในกลุ่มพี่เลี้ยง และในระบบเชิงนโยบายว่าจะมีทิศทางอย่างไร -
--- สู้ๆ ต่อไป และอย่าหยุดที่จะคิดฝัน นะครับ ----
มีกิจกรรมหลากหลายมาก
แบบนี้เด็กรอบมหาวิทยาลัยได้เรียนรู้เรื่องการรักษาฟันเรื่องสุขภาพเรื่องอื่นๆจากพี่นิสิต
เป็นการเรียนรุ้ที่สนุกกว่าในห้องเรียน
นิสิตก็ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจากกิจกรรมจริง
อ่านแล้วมีความสุขครับ
ครับ พี่ คุณมะเดื่อ
เด็กๆ สนุก หัวเราะในวันเช่นนี้กันท้วนทั่ว
มีร้องไห้บ้าง เพราะไม่ได้ถ่ายรูปกับไดโนเสาร์ 55
ใช่ครับ อ. ขจิต ฝอยทอง
บันทึกนี้ นอกจากธรรมเนียมนิยามคามสนุกสนานทั่วๆ ไปแล้ว ผมเพียแค่ตั้งประเด็นให้นิสิตเรียนรู้ถึงการจัดงานวันเด็กในบริบทของการเป็นสถาบันอุดมศึกษา ตั้งแต่กรอบแนวคิด กระบวนการ ผลลัพธ์ รวมถึงประเด็นของการดึงศักยภาพในวิชาชีพของแต่ละคณะออกมาบริการสังคมในมิติ "บันเทิงเริงปัญญา" เพราะจะได้ช่วยให้ตนเองมีความรู้และทักษะที่แจ่มชัดขึ้น