หลักนิติธรรม
โดย ถวิล อรัญเวศ
รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 4
หลักนิติธรรม ซึ่งเป็นหลักข้อแรกใน
หลักธรรมาภิบาล ก็คือ การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
จะต้องยึดระเบียบ กฎหมาย กติกาของบ้านเมืองที่
ประชาชนหรือผู้แทนประชาชนได้ร่วมกันออกระเบียบไว้
เป็นหลัก ถ้าเราไม่ยึดระเบียบ กฎหมาย แต่ยึดความถูกใจ
เข้ามาแทน อาจจะทำให้เกิดผลร้ายตามมา เช่น ประชาชน
จะขาดศรัทธาความเชื่อมั่นในการบริหารบ้านเมืองของผู้มี
อำนาจในขณะนั้นได้ และถ้าประชาชนขาดศรัทธา หรือ
ขาดความเชื่อมั่นแล้ว การที่จะหวังผลอะไรก็ตามที่เรากำหนดไว้
อาจจะไม่สำเร็จ หรือนำไปสู่ความหายนะของชาติบ้านเมือง
ซึ่งเรื่องนี้เคยพบแล้วในบางประเทศถึงกับทำสงครามกลางเมือง
ก็มีกว่าจะเข้าใจกันได้ก็ฆ่ากันเองตายไปแล้วไม่รู้กี่ล้านคน
ซึ่งก็อาจจะทำให้สายเกินไปก็ได้
ข้อเสนอแนะ
ทั้งนี้เพราะหลักนิติธรรม ไม่ต่างจากหลักกฎแห่งกรรม คือ
คือเมื่อทำผิดหลักนิติธรรม ย่อมจะมีผลตามมาแน่นอน
คนที่ทำแน่นอนผลปัจจุบันอาจจะไม่เห็นทันที เพราะกรรมยังไม่ให้ผล
เสมือนคนเหยียบถ่านไฟที่มีเถ้าถ่านกลบอยู่ เหยียบตอนแรก ๆ อาจจะ
ไม่มีความรู้สึกร้อนแต่อย่างไร พอเหยียบไปนาน ๆ
ความรู้สึกร้อนจะปรากฏ อุปมาคือผลกรรมกำลังจะ
ให้ผล เช่นเดียวกับผู้ยังมีอำนาจในการปกครอง
บ้านเมือง ทำผิดกฎหมายตอนแรก ๆ อาจจะคิดว่า
ไม่เป็นไร เพราะอำนาจหรือบุญเก่ายังคุ้มครอง เมื่อ
หมดอำนาจหรือบุญกรรมเมื่อไร ผลกรรมจะตาม
สนองทันทีครับ
2. การทำอะไร ไม่ควรทำตามความถูกใจมากกว่า
ความถูกต้อง
เมื่อมีตับทกฎหมายไว้ชัดเจน ก็จะต้องปฏิบัติตามนั้น เพราะถือว่า
เป็นสิ่งที่ประชาชนให้การยอมรับแล้ว แต่ถ้ามีการมาแก้ไขใหม่ตามความถูกใจ
แน่นอนย่อมจะได้รับแรงต่อต้านเป็นธรรมดา เพราะประชาชนเขาอาจจะมองว่า เราไม่มีความสุจริตใจในการที่แก้ไขเรื่องดังกล่าว เพราะการแก้ไขไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการเป็น
แบบอย่างที่ดี เช่น ใช้พวกมากลากไป เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ เขาอาจจะมองว่า เรามีความหวังอะไรหรือเปล่า
ในการทำเรื่องนั้น ตราบใดที่เราอยากหวังความเปลี่ยนแปลงให้เกิด แต่เรายังไม่สามารถอธิบายให้
ประชาชนได้เข้าใจชัด ในวิธีการดำเนินงาน ก็อย่าไปทำเลย เพราะจะเป็นเหมือประสงค์ดี แต่มุ่งร้าย
3. การจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตาม ควรอยู่บนพื้นฐานของ
ความดีงาม หรือการเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นหลัก
กล่าวคือ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงใหม่ อย่างน้อยต้อง
ดีกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงที่ดี คือสร้างความเข้าใจ
ของประชาชนก่อน ค่อยเป็นค่อยไป ทำจนเป็นวิถีชีวิต
จนเขายอมรับ เมื่อเขายอมรับ เขาจะต่อยอดเองโดยไม่ต้องไปบังคับหรือกะเกณฑ์บังคับแต่อย่างไร
เพราะตราบใดที่ประชาชนยังไม่เข้าใจ จะป่วยกล่าวไปใย อาจจะดีก็ได้ แต่ประชาชนเขายังไม่เข้าใจ
ไม่ศรัทธา ถ้าเปรียบกับหลักธรรม คือ เขายังไม่มีอุปนิสัยหรือบุญบารมีพอเพียงที่จะเข้าใจหรือยอมรับในเรื่องนั้นได้ ข้อนี้พระพุทธเจ้า
จะสอนใครก็ทรงกำชับให้สาวกได้พิจารณาดูอุปนิสัยของ
ผู้นั้นก่อน เขายังมีอุปนิสัย หรือบารมียังไม่สามารถจะไปถึงนิพพาน จะไปสอนไม่ได้ เช่น
จะทรงแนะนำสอนให้เขาให้ทานก่อน เพราะการให้ทาน สามารถทำได้ง่าย ต่อมาก็สอนให้รักษาศีล
คือคือรู้จักความคุมกาย และควบคุมวาจา ไม่ให้ไปกระทำในทางชั่วร้าย ต่อมาก็สอนให้ทำสมาธิ
เจริญปัญญา ตามลำดับครับ เช่นเดียวกับ
เราอยากจะปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง ความจริงเป็นสิ่งที่ดี แต่เรายังไม่สามารถแสดง
วิสัยทัศน์ให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า เราจะปฏิรูปประเทศอย่างไร
มีความเป็นไปได้เพียงใด ถ้าใช้เวลาเพียงปีสองปี เพราะ
บางคนบอกว่า การปฏิรูปประเทศ คือจะต้องทำให้ประชาชนไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าสามารถทำได้จริง
เพราะเราไม่ได้ใจประชาชน คือยังไม่สร้างศรัทธา สร้างความตระหนักให้เกิดกับเขาก่อน
จึงเป็นเรื่องที่ยาก ถ้าภาษาวิจัย คือเป็นตัวแปรที่คุมได้ยากมากครับประเด็นนี้
ผู้จะทำการวิจัยต้องสามารถควบคุมตัวแปรให้ได้ก่อน คือจะ
ต้องอาศัยการอบรมบ่มเพาะ ควบคุมให้ดีก่อนจึงจะทำได้
4. การจะเปลี่ยนแปลงอะไร ควรอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม
กล่าวคือการกระทำดังกล่าว ต้องอยู่ในหลักอารยธรรม
ความศิวิไล เป็นพฤติกรรมที่สง่างาม คือการแสดงออก
ในทางที่ดีงาม ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ให้ใครได้รับความเดือดร้อนกับการกระทำที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง
นั้น คือ ไม่ก้าวก่ายในสิทธิเสรีภาพของคนอื่นนั้นเอง
สรุป
การทำผิดนิติธรรม ก็เหมือนกับการทำผิดกฎแห่งกรรม คือตอนแรก คนทำ
อาจจะมีบุญเก่าคุ้มครอง บุญเก่ายังไม่ให้ผล ก็ไม่เป็นไร
ต่อเมื่อหมดอำนาจวาสนาเมื่อไร ผลกรรมที่ขาดหลักนิติธรรมจะส่งผลทันที
ดังคำที่ว่า “น้ำลดตอผุดนั้นเอง” นั่นเองครับ
ไม่มีความเห็น