หลังการเก็บข้อมูลชุมชนผ่านเครื่องมือต่างๆ อาทิ แบบสำรวจ สัมภาษณ์ สังเกตพฤติกรรมในวิถีประจำวันและกิจกรรมทางสังคม ตลอดจนเครื่องศึกษาชุมชน 7 ชิ้น รวมถึงการสะท้อนข้อมูลทั้งหมดร่วมกันในหมู่นิสิตและคณาจารย์เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2558 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงวาระการคืนข้อมูลให้กับชุมชน
คืนข้อมูลชุมชน : สร้างสะพานใจไขข้อกังขาแบบพี่ๆ น้องๆ
เวทีการคืนข้อมูลให้กับชุมชนจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 เวลา 08.00-13.00 น. ณ ศาลาการเปรียญวัดสว่างชัยศรี
แต่กว่าจะเริ่มได้เวลาก็เคลื่อนไหลไปไม่น้อย เนื่องเพราะเช้าวันนี้เป็น “วันพระ” ชาวบ้านมีกิจกรรมทางศาสนายืดยาวกว่าวันธรรมดา ซึ่งผมว่าตรงนี้แหละคือประสบการณ์ของคนจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องพึงตระหนักไว้ด้วยเช่นกัน หรือถ้าไม่ใช่วันพระต่อให้เป็นวันปกติก็เถอะ ช่วงเวลา 08.00 น. ก็อาจจะยังลำบากอยู่บ้าง เพราะยังเป็นช่วงที่เกี่ยวโยงกับการถวายภัตตาหารเช้า หากสามารถออกแบบกิจกรรมในเช้านี้ให้นิสิตมาทำบุญตักบาตรไปในตัว แล้วค่อยๆ ประชาสัมพันธ์และชักชวนชาวบ้านให้ร่วมกิจกรรมต่อเนื่อง หรือกลับมาใหม่อีกครั้ง-ก็น่าจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว
การคืนข้อมูลในเวทีนี้ นิสิตเรียงลำดับเหมือนการสะท้อนข้อมูลเมื่อวาน กล่าวคือจากหมู่ที่ 1 ไปยังหมู่ที่ 2 หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 4 ตามลำดับ ข้อมูลวันนี้เป็นข้อมูลเชิงสถิติ ส่วนผู้ที่มาร่วมรับฟังข้อมูลในภาคชุมชน หลักๆ แล้วประกอบด้วยผู้แทนจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพฯ อบต.นาดี กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. รวมถึงประชาชนทั่วๆ ไป
นพ.ชวลิต นิลวรางกูร : อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักโครงการฯ กล่าวเปิดเวทีการคืนข้อมูล
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชอบการคืนข้อมูลในทำนองนี้ค่อนข้างมาก เพราะเป็นเสมือนการได้ร่วมตรวจทาน หรือ “ชำระข้อมูลชุมชน” ร่วมกัน เพราะข้อมูลส่วนใหญ่นิสิตจะเน้นเก็บสำรวจจาก “ปากคำชาวบ้าน” มีบางส่วนที่ถูกนำไปเทียบเคียงร่วมกับ “เอกสาร” สำคัญๆ ในชุมชน
ในบางประเด็นที่มีความคลาดเคลื่อน ผู้แทนชุมชนก็ทักท้วง อธิบาย หรือขยายความให้ชัดเจนขึ้น รวมถึงการ “ถามกลับ” มายังนิสิต เพื่อให้นิสิตได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนขานรับข้อมูลร่วมกันอีกครั้ง
เช่นเดียวกับบางประเด็นที่เป็นปัญหา ซึ่งมาจาก “ปากคำชาวบ้าน” เช่น เรื่องของยุงลาย น้ำประปา ร่องระบาย/ท่อระบายน้ำ ผู้แทน อบต.และ รพ.สต. ก็ลุกขึ้นมาบอกกล่าวแถลงความเชื่อมร้อยให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในแบบกัลยาณมิตร ทั้งที่ดำเนินการแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรือกระทั่งความสำเร็จในระดับต่างๆ ของแผนหรือโครงการที่ขับเคลื่อนไปแล้ว
ครับ-กระบวนการเช่นนี้ไม่ใช่แค่การร่วม “ตรวจทาน-ชำระข้อมูลระบบสุขภาพชุมชน” เท่านั้น ผมมองว่านี่คือเวทีที่เป็นเสมือน “สะพานเชื่อมใจ” ให้ชาวบ้านและฝ่ายปกครอง หรืออื่นๆ ได้แลกเปลี่ยนความคิดและความรู้ร่วมกัน เสมือนการจัดการความรู้ร่วมกัน คิดและเสาะหาต้นเหตุปัญหาร่วมกัน เพื่อผูกโยงไปสู่การคลี่คลายปัญหาร่วมกันแบบพี่ๆ น้องๆ บนฐานคิดของ "การมีส่วนร่วม”
นี่คือมนต์เสน่ห์อีกมิติหนึ่งของ โครงการพัฒนาสุขภาพชุมชน ที่คณะแพทยศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ได้ร่วมเทใจขับเคลื่อนในแบบ “เรียนรู้คู่บริการ” และ “บูรณาการศาสตร์” ขึ้นในชุมชนบ้านปอแดง ตำบลนาดี อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์
A-I-C : 4 ปัญหาร่วมและการทบทวนแผนพัฒนาชุมชนแบบเนียนๆ
ข้อมูลของทุกกลุ่ม จะถูกนำมาสร้างการมีส่วนร่วมในเวทีแบบ A-I-C ที่หมายถึงการวิเคราะห์ สังเคราะห์ วินิจฉัยข้อมูลเพื่อออกแบบและตัดสินใจสร้างกรรมร่วมกันระหว่างนิสิตกับชุมชน โดยมีอาจารย์คอยทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” เพราะครั้งนี้เน้นกิจกรรม หรือปัญหาที่ชาวบ้านสามารถแก้ไขด้วยตนเองเป็นหัวใจหลัก เพื่อให้ชาวบ้านตระหนักในศักยภาพตนเอง สามารถหยัดยืนสานต่ออะไรๆ ได้ด้วยตนเอง โดยมี “นิสิต” ผู้เป็นเสมือน “ลูกฮัก” ได้เป็นทั้ง “ลูกมือ-วิทยากร” หรือกระทั่งเป็น “ผู้ขอรับความรู้” จากชาวบ้านไปพร้อมๆ กัน
สำหรับประเด็นปัญหาเร่งด่วน หรือปัญหาที่ชาวบ้านให้ความสำคัญทั้ง 4 หมู่นั้น ประกอบด้วย...
ดร.ประเสริฐ ประสมรักษ์ : วิทยากรกระบวนการ หนึ่งในวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิภาคสนามฯ
ปัญหาทั้งสี่เรื่องนี้ ถูกหยิบยกมา “โสเหล่” ร่วมกันอีกครั้งโดยมี ดร.ประเสริฐ ประสมรักษ์ (นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ) ทำหน้าที่เป็นกระบวนกรเชื้อเชิญให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ร่วมแลกเปลี่ยนกันอีกรอบถึงมูลเหตุปัญหา สถานการณ์ปัญหา แนวทางการแก้ไข ทั้งที่ทำอยู่แล้ว และยังไม่ได้ทำ ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปอย่าง “ม่วนซื่น” (เว้านัวหัวม่วน) ในแบบอีสานๆ
ประเด็นดังกล่าวนี้ผมมองไปถึงกระทั่งว่าเป็นเสมือนเวทีของการทบทวนแผนของชุมชนไปในตัวด้วยซ้ำไป เพราะประเด็นทั้ง 4 เรื่องนี้น่าจะมีแผนพัฒนารองรับจาก รพ.สต. หรือ อบต. อยู่แล้ว รวมถึงกิจกรรมประจำและเชิงรุกที่ชาวบ้านได้ทำร่วมกัน ซึ่งนี่คืออีกครั้งของการทบทวน ประเมินผล หรือกระทั่ง SWOT แบบเนียนๆ ถึงแผนงานเหล่านั้นว่าจริงๆ แล้ว “ยังไง” และ “อย่างไร”
ยกตัวอย่างเช่น โครงการที่เกี่ยวกับยาเสพติดนั้น การระดมความคิดสะท้อนให้เห็นว่าการนำเด็กและเยาวชนไปเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาเพียงอย่างเดียว ไม่น่าจะเป็นทางออกที่เข้มแข็งเสียทั้งหมด แต่ควรหันกลับมาสร้างการมีส่วนร่วมจาก “ผู้ปกครอง” ไปพร้อมๆ กัน เพราะนี่คือ “ระบบภูมิคุ้มกัน” ที่ท้าทายและมีพลังอย่างมหาศาล ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ได้รับการขานรับจากแกนนำชาวบ้าน เพื่อให้ อบต. หรือภาคส่วนอื่นๆ ได้ริเริ่มโครงการหรือกิจกรรมทำนองนี้ร่วมกันกับชาวบ้านเสียที
หรือกระทั่งความต้องการของชุมชนเกี่ยวกับ "ผังชุมชน" หรือ "แผนที่ชุมชน" ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลนาดียังไม่มีชุดความรู้ในเรื่องเหล่านี้เลย -
นิสิตได้เรียนรู้อะไรจากเวทีการคืนข้อมูลกลับสู่ชุมชน
ในเวทีการคืนข้อมูลให้กับชุมชนดังกล่าว นอกจากการทำให้รู้ว่าข้อมูลเหล่านั้นตรงกับความจริงของชุมชนแค่ไหน เป็นวัตถุดิบอันดีพอที่จะแปลงไปสู่กิจกรรมการพัฒนาได้แค่ไหน หรือชุมชนได้ประโยชน์อะไรจากเวทีที่ว่านั้น
อย่างไรก็ดีผมยังมองว่าตัวนิสิตเอง หรือกระทั่งคณาจารย์ที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงและผู้ซึ่งเป็นเสมือนผู้ออกแบบกระบวนการเรียนรู้คู่บริการในครั้งนี้ ย่อมต้องประเมินผลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการประเมินผลที่เกิดขึ้นกับนิสิต ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าคณะทำงานทั้งหมดได้ตั้ง “โจทย์” ไปเช่นใด
แต่สำหรับผมแล้ว ผมเบิ่งมองแบบพื้นๆ เฉพาะ “เวที” ล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับการเก็บข้อมูลภาคสนาม เป็นต้นว่า
หรือกระทั่งการได้เรียนรู้ว่าศาสตร์และศิลป์ของการใช้เครื่องมือเพื่อศึกษาชุมชนนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง แหล่งข้อมูลในชุมชนนอกจาก “ปากคำชาวบ้าน” แล้ว ยังมีอยู่ที่ไหนอีกบ้าง
รวมถึงการประเมินว่าจากวันแรกถึงวันนี้ (14-18 ธันวาคม 2558) นิสิตตระหนักในพันธกิจการเรียนรู้นี้มากขึ้นแค่ไหน มีแรงบันดาลใจต่อการเรียนรู้เช่นนี้มากขึ้นหรือยัง เพราะการเรียนรู้คู่บริการเช่นนี้คืออัตลักษณ์การเป็นนิสิตฯ (ผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน) ที่หมายถึงเรื่องจิตอาสา-จิตสาธารณะ
ครับ-นี่คือการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง เป็นการเรียนรู้ผ่านระบบและกลไกของการศึกษาที่ใช้ผู้เรียนและชุมชนเป็นศูนย์กลางสู่ปลายทางแห่งการศึกษาเพื่อรับใช้สังคมตามปรัชญามหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน)
พรุ่งนี้ (19 ธันวาคม 2558) จะเป็นวันแห่งการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม โดยข้อมูลเหล่านี้แหละคือต้นทุน หรือวัตถุดิบในการที่จะถูกนำไปออกแบบ หรือบูรณาการเป็นกิจกรรม “เรียนรู้คู่บริการ”
เท่าที่รู้ตอนนี้ บางกิจกรรมจะต้องเริ่มตั้งแต่ 05.00 น. เลยทีเดียว –
ชื่นชม และเป็นกำลังใจให้ ครับ
หมายเหตุ
1.วิทยากรผู้ให้ข้อเสนอแนะ : ดร.ประเสริฐ
ประสมรักษ์ ผศ.ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา
นายพนัส ปรีวาสนา
2.ภาพ : นายพนัส ปรีวาสนา
นิสิตได้รับสิ่งที่ดี มีประโยชน์มาก ๆ
วันหน้าคงได้เห็นกำลังของชาติเหล่านี้
นำประเทศชาติไปสู่่ความแข้มแข็งมั่นคงต่อไปนะจ๊ะ
เป็นกำลังใจให้คนทำงานจ้าาา