เช้าวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ เรานัดกันออกจากโรงแรม ๕.๐๐น. เพื่อไปดูสะดือแม่น้ำโขง ที่วัดอาฮงศิลาวาส ให้เห็นจะจะ ไปเห็นความกว้างขวางสวยงามของวัด ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย มีลมโชยอ่อนๆ ขับกล่อมด้วยเสียงทำวัตรเช้า ของคณะที่มาทำพิธีบวงสรวงพญานาค เนื่องในวันเพ็ญ เดือน ๑๑ บนโขดหินริมฝั่งโขง ซึ่งฝั่งตรงข้าม (ฝั่งลาว) ก็เป็นโขดหิน มีเจดีย์ จึงเดาว่าเป็นวัด
ได้ชมบรรยากาศยามเช้าตรู่ ที่มีดาวศุกร์ส่องสกาวบนท้องฟ้า ตามมาด้วยแสงทองเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้า เมื่อสว่างก็เดินชม (และถ่ายรูป) แก่งอาฮง อุทยานหินงามอาฮง ที่ทั้งสวยจากธรรมชาติ และจากการปลูกต้นไม้และสนามหญ้า และได้กราบพระพุทธชินราช (จำลอง) และหลวงพ่อสุโขทัย ซึ่งตามสายตาของผม ลักษณะเหมือนพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก ด้วยกันทั้งคู่
ไม่ทราบว่าลักษณะน้ำวนที่ผิวน้ำ ที่เห็นและถ่ายรูปได้ จะเป็นลักษณะจำเพาะของแม่น้ำโขงตรงตำแหน่งนี้หรือไม่ ลักษณะน้ำวนนี้ เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ เห็นด้วยตา และถ่ายรูปได้ชัดเจน ผมไม่เห็นลักษณะนี้ ที่แม่น้ำเจ้าพระยา
เวลา ๘.๓๐น. คุณหมวย เจ้าหน้าที่ของ สสจ. บึงกาฬ ก็มารับไปชมบึงโขงหลง บึงน้ำจืดที่เป็นแหล่งชุ่มน้ำโลก อันดับที่ ๑๐๙๘ และอันดับ ๒ของไทย อ่านเรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ และ Ramsar Site ได้ ที่นี่ คุณสมพาน โคตรธารินทร์ สสอ. บึงโขงหลง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่บอกว่า ในจังหวัดบึงกาฬมี่พื้นที่ชุ่มน้ำโลก ๒ แห่ง อีกแห่งหนึ่งคือ กุดทิง สัตว์น้ำที่พบจำเพาะที่บึงโขงหลงคือ ปลาบู่แคระ
ที่ริมฝั่งบึงโขงหลงมองเห็น ภูลังกา แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด และมีคนเขียนบันทึกการไปเที่ยวหาดคำสมบูรณ์ ของบึงโขงหลง เมื่อกว่าสี่ปีมาแล้วไว้ ที่นี่ คุณสมพานอธิบายที่มาของชื่อ โขงหลงว่าเพี้ยนมาจาก “ขอมล่ม” เป็นขอมหลง และ โขงหลง ในที่สุด หมายความว่าสมัยโบราณบริเวณนี้เป็นเมืองขอม และเมืองล่ม
คุณสมพาน พาเราไปกราบ เจ้าปู่อือลือ ที่ศาล ทำให้ได้ทราบตำนานพญานาคเชื่อมโยงกับบึงโขงหลง อ่านได้ ที่นี่
หลังจากนั้นจึงไปกินอาหารเที่ยงที่ร้านน้องเปิ้ล ริมฝั่งบึงโขงหลง พบว่าน้ำในบึงใสมาก
บ่ายเรากลับมาพักที่โรงแรม เตรียมไปชมบั้งไฟพญานาคที่อำเภอรัตนวาปี
ชม บั้งไฟพญานาค
เวลา ๑๕ น. ขบวนรถตู้ ๗ คัน รถบัสใหญ่ ๑ คัน ก็ตามรถตำรวจทางหลวงไปยังอำเภอรัตนวาปี ไปสมทบกับอีกขบวนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุข รวมเป็นประมาณ ๑๕ คัน ตรงไปยังสถานีเรือรัตนวาปี นปข. กองทัพเรือ โดยทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประสานงานขอเข้าไปนั่งชมบั้งไฟพญานาค และเอารถไปจอดได้ ๔ คัน ระหว่างทางแยกเข้าไปแม่น้ำโขง รถติดมาก แต่รถตำรวจพาฝ่าเข้าไป มีรถบางคันถือโอกาสเข้าขบวนด้วย แต่ทหารก็กั้นไว้ ไม่ให้เข้าไปยังสถานีเรือ
เราไปถึงตั้งแต่ ๑๖ น. ต้องนั่งแกร่วบังแดด รอจนเวลาประมาณ ๑๗.๓๐น. พระอาทิตย์ก็ลับเขา และรอจน ๑๘.๒๐ น. บั้งไฟพญานาค ๓ดวงแรกก็พุ่งออกมา ตามด้วยลูกที่ ๔ ขึ้นตรงด้านขวามือของที่เรานั่ง ผมไม่เห็นเลย ดูไม่ทัน แต่หลังจากนั้นก็เห็นอีกหลายลูก แต่เห็นหลังจากคนเฮทุกที มันลอยขึ้นไปสูงทีเดียว ผมถ่ายภาพนิ่งได้ ๒ ภาพ ภาพหนึ่งมี ๑ ดวง อีกภาพหนึ่งมี ๒ ดวง และถ่ายภาพวีดิทัศน์ได้ ๑ ภาพ มี ๓ ดวง เรารอต่อประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็ชวนกันกลับตอนเกือบสองทุ่ม แต่รถก็ติดหนึบ
มีคนนับลูกไฟได้ ๒๒ ลูก นับว่าน้อยกว่าปีก่อนๆ (ที่นับได้เป็นร้อยหรือสองร้อยลูก) มาก ผมมีข้อสังเกตว่า วันนี้อากาศอับ อบอ้าว ไม่มีลมเลย อ็อกซิเจนในอากาศอาจจะน้อย ทำให้ก๊าซสันดาปกับอ็อกซิเจนไม่พอที่จะลุกเป็นดวงไฟ และน่าสังเกตว่าดวงไฟขึ้นจากบริเวณด้านขวามือของที่ผมนั่งทั้งสิ้น ไม่ได้ขึ้นจากด้านซ้ายมืออย่างในปีที่แล้ว ตามคำบอกเล่าของคุณหมอวิทยา รอง สสจ. บึงกาฬ
ขากลับรถติดมาก รถตำรวจนำรถเก๋งตามด้วยรถตู้คันที่เรานั่ง และขบวนรถตู้ ขอทางกลับ แต่กว่าจะถึงโรงแรมก็เกือบสี่ทุ่ม และมีรถตู้คันที่เรานั่งคันเดียวที่ตามขบวนทัน นอกนั้นพลัดกันหมด
แต่เมื่อฟังข่าวเช้าวันรุ่งขึ้น เขารายงานว่า ปีนี้มีบั้งไฟพญานาคผุดมากเป็นประวัติการณ์ โดยขึ้นตอนดึกหลังสี่ทุ่มไปแล้ว และที่บ้านหนองพอน อำเภอรัตนวาปี ก็มีบั้งไฟพญานาคผุดมากตั้งแต่หัวค่ำ
ผมกลับมาคิดว่า มองในมุมของการไปซึมซับประสบการณ์ จะได้ชมบั้งไฟพญานาคมากหรือน้อยไม่สำคัญ ที่สำคัญคือได้เห็นกับตาว่ามันขึ้นมาจากกลางลำน้ำ กว่าจะเห็นลูกไฟก็สูงเลยผิวน้ำมากแล้ว และสีส้ม-แดง ไม่กระพริบ ไม่มีเสียง เวลาดับก็ดับไปเฉยๆ ไม่มีการตกลงมา
วิจารณ์ พานิช
๒๗ ต.ค. ๕๘
ภาพสวยมากครับ ได้เคยไปมาแล้วบึงโขงหลง วัดภูท็อก สงบสวยงาม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป