ความล้มเหลวของการศึกษาไทยอีกเรื่องหรือเปล่า ???


ในช่วง 2 เดือนมานี่ ผู้เขียนกำลังประสบกับปัญหา เรื่องมีคนมาตามตื้อ ให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขายตรง ของสินค้าแบรนด์หนึ่ง เขาอ้างว่า ระดับโลก รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะคนที่มาตามตื้อเรานี่เป็นบุคคลากรที่มีความสำคัญสูงสุดทางด้านสาธารณสุข (ไม่ขอระบุตำแหน่ง อาจโดนข้อหาหมิ่นประมาท )ถึง 2 ท่าน สาเหตุมาจาก ไปทักแพทย์ท่านหนึ่งว่า สวยขึ้นผอมลงเธอนั้นยิ้มและตอบรับความสนใจเราทันทีโดยบอกว่า มีเคล็ดลับ ที่เราให้เป็นแบบนี้ แล้วจะมาคุยด้วย และแล้ววันที่มาคุยก็มาถึงในวันที่เวรตรงกัน

การคุยครั้งที่ 1 เมื่อการการซักประวัติในวันที่อยู่เวร วันหยุดได้หมดลง เธอขอคุยด้วยทันที โดยดึงประเด็นความมั่นคงทางการเงินที่ไม่ต้องลงทุนเอง แล้วรอรัผลตอบแทนที่คุ้มค่ากกว่าการมานั่งเป็นพยาบาลหรือแพทย์ซึ่งหากไม่มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีหมายถึงร่ำรวยมาแต่เดิมแล้ว ไม่มีทางมาถึงจุดนี้ได้คือ นั่งๆรอรับเงินอย่างเดียว ว๊าว!!!ฟังดูน่าสนใจมาก เอากิเลส(โลภ) มาล่อ ผู้เขียนคิดในใจ เอิ่ม ... บังเอิญผู้เขียน มีพื้นฐานครอบครัวดี ไม่รู้เรียกว่าร่ำรวยหรือเปล่า คือ มีพ่อแม่เป็นชาวนา มีที่ทำกินประมาณ 40 ไร่ มีที่บ้าน ที่สวนที่อยู่แบบบ้านนอกได้สบายๆ ไม่มีหนี้สิน ประเด็นนี่ ล่อ ผู้เขียนไม่สำเร็จ

เอาประเด็นใหม่ สินค้านี้เน้นคุณภาพทางด้านสุขภาพผลิตภัณฑ์มันอยู่ใน หนังสือ PDR ของแพทย์หลายรายการ (หนังสือ PDR เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลทางวิชาการที่น่าเชื่อถือที่สุด สำหรับแพทย์ในการสั่งจ่ายยาหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคุณะกรรมการอาหารและยา ของสหรัฐอเมริกาให้กับคนไข้) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในผู้ป่วยความดันเบาหวานดีมากๆ เขาโฆษณาว่าอย่างนั้น อืมมมม์....น่าสนใจทีเดียว ขณะฟังไปก็คิดต่อ ว่าน่าจะไปเสนอกระทรวงสาธารณสุขนะว่า ของเขาดีขนาดนั้นน่ะ เอามาเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติของเราเลยราคาอาจแพงหน่อย แต่คนไข้หาย ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังได้ อาจคุ้มค่ากว่าการรักษาในปัจจุบันอีกนะ เขาก็พูดของเขาไปเรื่อย ผู้เขียนก็ฟังแบบไม่ตั้งใจแต่จับใจความได้ว่า หากสนใจสามารถสมัครในรูปแบบทำธุรกิจ คือ หาสมาชิก + ขายสินค้า แต่หากไม่ถนัดทำธุรกิจก็สมัครเพื่อใช้สินค้า ก็ได้ พี่สนใจแบบไหน ยิงประเด็นแบบผู้เขียนไม่ได้ตั้งตัว เลยทีเดียว เลยตอบไปว่า ไม่สนใจทำธุรกิจค่ะ เธอต่องั้นพี่ สนใจสินค้ามั๊ยยเช่นชุดลดความอ้วน (น้าน...ว่าแล้วเชียว เอาปมด้อยของเรามาขู่ เสียใจไม่สำเร็จหร๊อก อ้วนได้ก็อ้วนงามขอบอก ) ตอบไปว่า ไม่หรอกค่ะพี่มีโรคประจำตัว ไม่อยากใช้ยาร่วมหลายตัว เธอก็สอบถามเรื่องอาการป่วยทันที แล้วก็เสนอสินค้าต่อได้อีก ผู้เขียนเห็นว่าท่าจะไม่จบเอ้า สักอย่างล่ะกัน เอามันชาระบายนี่แหล่ะวุ๊ย 1 กล่อง 10 ซอง 7 หรือ 8 ร้อยกว่าบาทไม่แน่ใจ ประมาณนี้ควักตังค์จ่ายสด อนนี้ยังวางทิ้งไว้ไม่ได้กิน เฮ้อ ...คิดว่าจะรอด ไม่เลย บอกวันหลังหนูจะมาคุยใหม่ โดยพา อัพไลน์ มาคุยด้วยเป็น ........เหมือนกัน ตอนนี้มีรายได้มากไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี ฮ่วยเอากิเลสมาขู่อีกล่ะ ก็เลยพยักเพยิดไปก่อน เพื่อให้จบๆ

การคุยครั้งที่ 2 มีมาคุย ถึง 2 ท่าน ผู้เขียนยืนยันคำเดิม แต่ก็เสียเวลาที่คุยนานพอควร ด้วยความที่เราเกรงใจเขา สรุปว่าเราไม่สนใจทำ แต่ก็รับปากไปว่าจะช่วยโฆษณาผลิตภัณฑ์ ให้ ถ้าหากมีโอกาส ( ถ้านะ ) น่าจะรับรู้ได้ว่า ไม่นะ

ยังมีครั้งที่ 3 ฮ่วย ... เมื่อวานนี้ พอดี มี นศ.มาฝึกงาน อ้างได้ว่ากำลังสอนนักศึกษา ยุ่งมาก แล้วหันหน้าหนีไม่สนใจ จบไปล่ะ แต่ก่อนไปก็ยังอุตส่าห์สั่งว่า แล้วจะมาหาอีกนะคะ อ๊ากกกก์ นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือค่ะ....แบบว่า งงอ่ะ

ที่ทิ้งประเด็นให้คิดในหัวข้อคืดว่า สมัยเราเรียนมัทธยม นี่ ก่อนจะผันแปรชีวิต มาประกอบอาชีพ ผู้เขียนเห็นควรว่า เราควรเลิกปลูกฝัง ความคิดในหัวเด็ก ดีว่า เก่งแล้ว ต้องเป็น แพทย์ เภสัช ทันตฯ วิศวะ ฯลฯ น่าจะให้เพิ่มวิชาขายตรงด้วยนะ เหม่ คิดนานไปมั๊ย หมดค่ากวดวิชาไปมาก เสียเวลาเรียน 6 ปี มาทำงานแล้วถึงรู้ว่า ไม่ได้ชอบเล้ย ขายตรงสนุกกว่ารวยกว่ามาก หากเราเริ่มทำตั้งกะจบมัทธยม ตอนนี้น่าจะเข้าขั้นเศรษฐีแล้วนะนี่

ปล. มิได้คิดดูถูกอาชีพใดค่ะ ทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ ไม่ผิดกฎหมาย ก็โอแล้ว แต่พอมาคิดถึงความคุ้มค่าคุ้มทุนในการศึกษา แล้ว อาจไม่คุ้ม เสียโอกาสหลายๆคนที่อยากเข้า เรียน ในคณะดังกล่าว แล้วมีอันต้องตกอันดับไป จากคะแนนที่น้อยกว่า คนเก่งๆเหล่านั้นนั่นเอง ตามสถานศึกษาก็ควรเลิกแข่งกันด้วยยอดที่สามารถสอบเข้า มหาวิทยาลัยได้มาก แถมได้คะแนนสูงสุด และคณะที่คนเก่งเข้าเรียน ได้มากกว่ากัน เสียที น่าจะ สอนให้เด็กหัดคิดว่า จริงแล้ว ตัวเองมีความสามารถเท่าไหร่ ถนัดอะไร อนาคตเราจะไปทางไหน กัน น่าจะเป็นทางออกในการลดต้นทุนสำหรับการศึกษา ได้มากมาย และได้ผลลัพธ์ ที่คุ่มค่าของชีวิต คือทำในสิ่งที่ชอบ ชอบในสิ่งที่ทำ เจริญรุ่งเรื่องในงานของตนนั่นเอง

ชลัญธร

พยาบาลบ้านนอก

หมายเลขบันทึก: 597615เขียนเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2015 04:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2015 04:34 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ชอบวิธีคิด "ถ้าดีกับโรคจริง เสนอเข้าบัญชียาไปเลย"

ทุกวันนี้มีการแอบอ้างขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมว่ารักษาโรคเบาหวาน ความดัน เยอะไปหมด เปืดแผงขายในรพ.เลยก็มีค่ะ

เราสอนคนไข้ให้คิดอย่างมีเหตุผลไม่ได้ ถ้าบุคลากรยังขายเอง

สวัสดีจ้ะ ดีใจที่ได้อ่านบันทึกดี ๆ มีสาระของคุณอีก

หายไปหลายวันนะจ๊ะ สบายดีนะจ๊ะ

มีอาจารย์รุ่นน้องคนนึง รับเข้ามายังไม่ทันไร หายหน้าประจำ พบว่าไปขายตรงอยู่ เมื่อตักเตือนว่าควรอุทิศเวลาให้แก่ราชการมากกว่านี้ อย่าประเจิดประเจ้อมากนัก เธอบอกว่าหนูไม่มีค่านมให้ลูก เงินเดือนนิดเดียว เราก็อึ้ง เดี๋ยวนี้เงินเดือนเยอะแล้ว แถมมีคนมาเล่าว่าชักชวนลูกศิษย์ในห้องให้ขายด้วย และขายไปทั่วทุกคณะ เราซึ่งเป็นผู้ตักเตือนก็ถูกชักชวนมากเหมือนกัน ก็ช่วยค่านมเขาไป ทุกวันนี้ดูเขาร่ำรวยมากขึ้นมีความสุขมากขึ้น แต่ลูกกำลังใช้เงินเลย ดีที่ไม่เป็นหนี้เหมือนครูอีกจำนวนมาก ชีวิตไม่ง่ายเลยนะคะสำหรับบางคน ต้องยอมถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆเพื่อพึ่งพาลำแข้งของตนเอง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท