หลายคนมักจะคิดว่า ตนเองเข้าใจคนอื่นดีแล้ว เนื่องจากมีประสบการณ์มากกว่า ผ่านโลกมามากกว่า ฯลฯ
แต่จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้ หยั่งถึง
ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกับเขา ไม่ได้สวมรองเท้าข้างเดียวกับเขา คุณจะใช้ความรู้สึก ประสบการณ์ของคุณไปตัดสินเขาไม่ได้ เพราะนั้นเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
กับบันทึก เ
เสวนาจานส้มตำ ๑๔ : “นักวิชาการโลโซ (Lecturer Loso Syndrome) และชำแหละ AAR : Gotoknow "Blog Life Cycle" ของนายรักษ์สุขเริ่มประเด็นจาก นายรักษ์สุข (คุณปภังกร) กล่าวว่า
อยากบอกความรู้ในใจลึก ๆ แบบตรง ๆ ว่า "ไม่สบายใจ" เลยครับกับการอาจหาญไปวิพากษ์ Gotoknow และ สคส.พราะประสบการณ์แบบฝังลึกเมื่อครั้งที่อยู่อุบลราชธานี กับการทำอะไรที่คนอื่นไม่ค่อยทำกันทำให้ความหวังดีกลายเป็นดาบทิ่มแทงตัวเอง ดาบทิ่มแทงตัวเอง...
ทั้งๆที่เนื้อหาที่บันทึก เปิดประเด็นให้สาระความรู้อย่างเต็มอิ่มตลอดเวลา
ยิ่งมีรางวัลสุดคะนึงเป็นตราประทับรับรองไว้แล้ว แล้วทำไมเขาจึงคิดแบบนี้
ดึงความรู้สึกด้านลบขึ้นมาบั่นทอนด้านบวกหรืออย่างไร
อยากรู้ต้องลองสวมรองเท้าข้างเดียวกันดู
เกิดความรู้สึกดาบทิ่มแทงตัวเองบ้างจะเป็นอย่างไร
จากความเห็นที่แตกต่าง ความไม่เข้าใจ และมองคนละมุม ที่นายรักษ์สุขสะท้อนออกมาว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นดาบทิ่มแทงตัวเอง
งั้นเสวนาจานส้มตำ ชำแหละข้อความนายรักษ์สุขไว้ละกัน แต่เปิดคางให้กลับมาน็อคบ้าง จะได้เข้าถึงความรู้สึกตรงนั้น..
นาย ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ : ป.ล. บันทึกของผมนั้นต้องอ่านรวมตั้งแต่ต้นจนจบ แรกจนถึงสุดท้ายถึงจะเห็นที่มา ที่ไป อ่านทีละประโยคหรืออ่านแค่บันทึกเดียวก็จะไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ครับ
คำตอบ...
สวัสดีครับคุณบอน
- เมื่อ เข้ามาอ่านแล้วต้องบอกตรง ๆ เลยครับว่า "งงมาก" ไม่ได้งงในสิ่งที่คุณบอนเขียนนะครับ แต่ผมชักเริ่มงงในสิ่งที่ผมเขียนออกมาว่าสงสัยจะถ่ายทอดออกมาไม่ดีพอจึงทำ ให้คุณบอนเข้าใจความหมายกลับตาลปัตรไปหมดเลย
- แต่สิ่งที่สำคัญที่ สุดที่เขียนออกมานั้น "นั่นคือความจริง" ผมไม่ค่อยชอบเขียนอะไรแบบเลิศหรูเขียนตามหลักวิชาการ ก็คือ หลักวิชาการเขาว่าไว้อย่างไรเวลาเราเขียนหรือพูด ก็พูดไปตามนั้นสังคมถึงจะยอมรับ นี่แหละครับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บางครั้งเป็นผลสะท้อนกลับที่ไม่ค่อยดี
- เพราะ คนส่วนใหญ่ในสังคม ทฤษฎีว่าไงก็พูดไปตามนั้น อย่างเช่น ทฤษฎี KM ก็เหมือนกัน บางครั้งพอมาเจอสภาพความเป็นจริงในสังคม มาเจอบางบริบทแล้ว หรือเมื่อเกิดปัญหาใดขึ้น การเขียนหรือพูดให้รอดตัวไปก็คือ เขียนหรือพูดไปตามทฤษฎีที่คนส่วนใหญ่เขาพูดกัน ก็คือพูดแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ความจริงหรือ Facts เป็นสิ่งที่พูดยากในสังคม โดยเฉพาะความจริงที่จะมีผลกระทบต่อส่วนรวม ทำให้บางคนเลือกไม่พูดดีกว่า
- เห็นไหมครับ ถ้าผมเป็นนักวิชาการไฮโซ ทุกอย่างจะถูกหมด แต่ถ้าเป็นนักวิชาการโลโซ พูดไปก็ผิดหมด นี่คือ Fact ของสังคมไทย สำหรับการเป็นไฮโซหรือโลโซ ผมว่าคุณบอนน่าจะคิดได้ว่า ใครบ้างที่พูดแล้วน่าเชื่อถือซึ่งบางครั้งจะพูดไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม
- คำ พูดที่ออกมาจาก "คุณวุฒิและวัยวุฒิ" ในสังคมไทย น่าเชื่อถือกว่าคำพูดที่เกิดจากความเป็นจริง นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับการพัฒนาประเทศ
- คำพูดเดียวกันประโยคเดียวกัน แต่คนละคนพูด ก็คนละเรื่องกัน
- ถ้าอย่างไรคุณบอนลองชำแหละสิ่งที่ผมพูดนี้มาอีกทีก็ดีนะครับ
- ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
..
1) ถ้านายบอนไม่เคยเขียนบันทึกเสวนาจานส้มตำที่หยิบประโยคในบันทึกของนายรักษ์สุขในลักษณะนี้มาก่อน
2) ถ้านายรักษ์สุขไม่เคยเขียนแสดงข้อคิดเห็นด้วยความรู้สึกในแง่บวก และเติมกำลังใจให้ตัวเองผ่านทางข้อคิดเห็นที่เขียนออกมาในเสวนาจานส้มตำตอนเก่าๆ
และ 3) ถ้านายบอนไม่เปิดอ่านบันทึกเสวนาจานส้มตำตอนเก่าๆที่นายรักษ์สุขเข้ามาเขียนข้อคิดเห็นไว้
นายบอนจะร้องไห้ เสียใจ เกิดความรู้สึกเบื่อโลก ท้อแท้ สิ้นหวัง เลิกแล้ว พอกันทีกับการเขียนบันทึกที่กลายเป็นดาบทิ่มแทงตัวเอง
แต่เพราะได้ทำทั้ง 3 ข้อ เกิดความรู้สึกชื่นใจที่นายรักษ์สุขยังมีน้ำใจ เอาใจใส่ สละเวลามอบข้อคิดเห็น ท้วงติงชี้แจงบ้าง ซึ่งจะต่างจากช่วงแรกๆที่นายรักษ์สุขเมื่อเห็นบันทึกที่นายบอนเขียนถึงท่าน จะกระตือรือร้นรีบตอบทันที
แต่บันทึกนี้ นายรักษ์สุขจะเว้นอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดความรู้สึกว่า ดูท่าทาง..นายรักษ์สุขจะโกรธมากๆแน่นอน
เพราะแต่ก่อน เขาจะความรู้สึกไวมากๆ ถ้าเป็นบันทึกที่มีเนื้อหาเชิงให้กำลังใจ ความคิดเห็นของเขาจะไหลพรั่งพรูออกมา ต่อท้ายบันทึกของนายบอน แล้วเกิดพลัง ไปเขียนบันทึกในบล็อกของตัวเองออกมาอีกเรื่อยๆ
ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน
ความรู้ที่เพิ่มขึ้นทำให้การปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลง ในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป
แต่ไม่ว่า จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร กำลังใจและความรู้สึกดีๆที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงยังคงมอบให้นายรักษ์สุขเสมอครับ ในยามที่รู้สึกท้อ......