นายหัว
นาย เจ้าชาย ณ เมืองห้วยแร่

รอยยิ้มสีดำ...กาแฟแก้วเดิมที่หน้าต่าง


วันนี้อากาศร้อนมากร้อนเหลือเกิน ทำไมกรุงเทพฯมันร้อนเยี่ยงนี้ ความรู้สึกไม่แตกต่างเลยกับการอยู่ในทะเลทรายซะฮาร่าเมื่อปีก่อนที่ไปเที่ยวมา สาบานว่าไม่ขอไปอีกชั่วชีวิต ผมพยายามบอกตัวเองว่าให้อดทนกับความแปรเปลี่ยนของสภาพอากาศโลก โลกมันร้อนเพราะเรา เราคือผู้ทำลายโลก เพราะเรานี่แหล่ะ ฮ่าย! ตอนนี้เราก็เดินอยู่ในกรุงเทพมิใช่จะเดินอยู่ในทะเลทราย คงเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัด ความกระหายที่อยากจะซดทุกอย่างที่ขวางหน้า จึงหงุดหงิดมองซ้ายมองขวาดูมันขวางหูขวางตาไปเสียหมด เดินพึมพำกับตัวเองไปเรื่อย เดี่ยวเหอะเจอร้านกาแฟเย็นจะฟาดสักสิบแก้วเลยคอยดู

ร้อนก็ร้อน ช่างหัวมันประไร ได้กาแฟมาแก้วนึงหูตาสว่างทันที เวลานี้เยี่ยมที่สุดเลย มากรุงเทพฯทั้งทีรอบนี้ ไม่ใช่มาเที่ยวฟรีๆเสียเวลาเปล่า ที่มานี่เพราะผมเดินทางมารับทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างหาก โชคดีอย่างแรง สอบกัน 75 คน จากทั่วประเทศ เราคือ 1 ใน 3 คนนั้น เก่งมั้ยล่ะ ด้วยความมุ่งมั่นอุตสาหะนี่แหล่ะที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้

ผมสัญญากับทุกคนเลยว่าผมจะตั้งใจเรียนตั้งใจนำความรู้ความสามารถทั้งหมดของผมไปพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไป นึกแล้วก็คิดถึงแม่แทบจับใจ กลับไปรอบนี้ต้องไปหาแม่แล้วล่ะ 3 ปีมาแล้วไม่ได้เจอแม่เลย ผิดที่ผมเองเลยทุกอย่าง เอาแต่ใจตัวเอง รู้นะว่าแม่ดุแม่ด่าที่ไม่พอใจ คงไม่ใช่อะไรหรอก แม่เป็นห่วงเราต่างหากเล่า การที่ผมตัดสินใจออกจากบ้านวันนั้น ผมเสียใจไม่ใช่น้อยทีเดียว ณ เวลานี้ ผมคิดว่ามันเป็นวิธีคิดที่โง่เง่าที่สุดเลย แม่คงเสียใจมาก อยากให้แม่รู้นะว่าผมก็ปวดร้าวเช่นกัน

คืนนี้ผมต้องเดินทางกลับหาดใหญ่แล้ว สนามบินดอนเมืองคือเป้าหมายต่อไปที่ต้องไปให้ถึงก่อน 22.00 น. ยังมีเวลาอีก 5 ชั่วโมงให้เที่ยวเล่น ผมจึงใช้เวลาในการเสาะหาข้าวของเครื่องใช้ ของกินที่แม่ชอบ ไม่ว่าเป็นผ้าไหม องุ่นฝรั่งเศสและรังนก คราวนี้ผมตั้งใจกลับไปเยี่ยมแม่ ไปกอดแม่ ไปขอโทษแม่และไปกินกับข้าวฝีมือแม่อย่างเช่นเคย แม่รู้คงดีใจที่ผมได้ทุนการศึกษา ค่าเทอมฟรี เงินเดือนก็มีให้ จบมาแล้วก็มีงานทำทันทีมีที่รับรอง แม่คงยิ้มไม่หุบ ผมคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ววันนั้น ยิ้มบ้าอยู่คนเดียว เดินไปพลางยิ้มไปพลาง บางทีก็หัวเราะ มันเป็นความรู้สึกที่ผมมีความสุขมาก

20.38 น. ผมต้องต่อรถไปสนามบินแล้ว ชักช้าคงไม่ทัน ไปนั่งหลับนอนหลับที่ดอนเมืองคงดีกว่าตกเครื่อง ผมไม่เคยพลาดเลยเรื่องเวลา ถือเป็นจุดเด่นผมล่ะเรื่องนี้ตรงต่อเวลา ผมไม่ได้ชมตัวเองนะ เพื่อนทุกคนก็ว่าแบบนี้เลยทุกคนยอมรับ ระหว่างรอ TAXI ไปสนามบิน ผมเจอยายเฒ่าคนหนึ่งรอรถอยู่เช่นกัน แกแต่งตัวดีดูแล้วมีฐานะใช้ได้ มองไปมาก็สงสารแกเหมือนกัน หลังแกค่อมตัวงอ เดินเหินต้องใช้ไม้เท้าค้ำยัน หน้าก้มลงพื้นตลอดเวลา พูดทีนึงต้องเงยหน้าขึ้น แกกระฉับกระเฉงพอตัว ผมไม่รอช้า เข้าไปคุยกับแกทันที

“ยายครับ จะไปไหนครับยาย” ผมยิ้มหน้าใสถามดื้อๆ “ยายจะไปสนามบินจ๊ะพ่อหนุ่มจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองเหมือนกัน” ยายก็ยิ้มตอบ “ยายแล้วยายรู้ได้ไงว่าผมจะไปสนามบินเหมือนกัน” ผมชักสงสัย ยายเป็นหมอดูมั้ยเนี๊ยะ “พ่อหนุ่มก็เอ็งแต่งตัวดูดี มีกระเป๋ามีของฝาก ถ้าไม่มาเที่ยวที่นี่ก็ต้องเดินทางไปไหนแหล่ะสักที่หนึ่ง และป้ายรอรถตรงนี้ เวลานี้ ใครๆเขาก็ไปสนามบินทั้งนั้น 55” ยายแกหัวเราะเห็นปากอ้า ฟันแกเตียนเกลี้ยงไม่มีสักซี่ ฮา ผมว่าคุยถูกคอแน่เลย จนรถ TAXI มาถึงเราสองคนสองวัย วัยหนึ่งกำลังจะรุ่งเรืองและอีกวัยหนึ่งกำลังจะร่วงโรย ขึ้นรถไปพร้อมๆกัน คงได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ดีๆได้มากแน่ๆ

“ยายครับ อยู่คนเดียวเดินทางคนเดียวหรือครับ แล้วยายมีครอบครัวมีลูกมีหลานเปล่าครับ” ช้าไปแล้ว ผมพยายามเบรกตัวเอง คงไม่ทัน ดันถามไปแล้ว คิดไปคิดมาไม่น่าถามแกเลย ถามไปได้ไงลูกหลานไปไหน ยายแกเงียบไปครู่ใหญ่ ผมรู้สึกผิดเลย ก็สงสัยนี่

ยายก็ถามกลับซะงั้น แทนที่จะตอบคำถามเรา “แล้วเอ็งมาทำไมที่กรุงเทพฯละพ่อหนุ่ม” “ผมมารับทุนการศึกษาครับยาย ผมเรียนอยู่ที่หาดใหญ่ครับ” แกยิ้มอย่างเอ็นดู พร้อมพูดต่อ “ดีนะพ่อหนุ่มดีมากเลย เอ็งเหมือนลูกชายยายเลยนะ มันได้รับทุนเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา เรียน 4-5 ปี จบด็อกเตอร์มา ทำงานได้เงินเดือน 2 แสนกว่าบาท มันอยู่ที่อังกฤษไปได้เมียฝรั่งมาคนนึง ตอนนี้ก็ลูก 2 เข้าไปแล้ว” รอยยิ้มแกสดใสดูมีความสุข แต่แล้วพักหนึ่งก็กลับกลายเป็นเศร้าหมอง “ยายป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ร่างกายขาดแคลเซียม ทำให้ตัวหงิกงอแบบนี้ โรคต่างๆพลันมารุมเร้ามากมาย ยายอยู่ตัวคนเดียว สามียายก็ตายไปนานแล้ว เขาเป็นคนดีเป็นข้าราชการครู ลูกเต้ายายมีคนเดียว มันเป็นเด็กเก่งเด็กขยันจนได้ทุนเรียนต่อ ทำงานดี มีครอบครัว เมื่อต้นปีที่แล้วยายโทรหามันบอกว่ายายป่วยเป็นโรคกระดูก อยากให้มันกลับมาทำงานในประเทศไทย อยากเห็นหน้ามัน อยากเล่นอยากอยู่กับหลาน จนมันย้ายมาทำงานในไทยจนได้ ครอบครัวก็หอบข้าวของตามมาที่นี่ ย้ายไปหาดใหญ่ก็ไม่ได้ เพราะศูนย์การทำงานและสาขาบริษัทไม่มี เหตุผลมันไม่ใช่อะไรหรอก เมียมันอยากอยู่กรุงเทพฯ มันเลยตามเมียมัน ยายเลยต้องบินไปมาเดือนละ 3-4 รอบ คิดถึงหลานเลยมาหา ค่าเครื่องมันจองให้ออกให้หมดทุกอย่าง แต่ไม่มีเวลามารับส่ง ยายโทรหามันทุกทีไม่เคยมีเวลาว่าง เวลากินเวลานอนของมันแทบไม่มี ทำงานตัวเป็นเกลียว มันทำตัวเหมือนทาสที่รับใช้อะไรสักอย่าง ยายเข้าใจมัน ไม่เป็นไร แค่เห็นหน้าหลานก็ชื่นใจแล้ว”

“ยายเก่งมากเลยอายุปูนนี้แล้ว บินเดือนหนึ่ง 3-4 ครั้ง มาเยี่ยมหลานที่กรุงเทพฯ สุดยอดจริงๆ ถ้าผมเป็นลูกชายยายนะ ผมรักยายมากเลย ผมจะดูแลยายให้ดีๆ ผมสัญญาเลย” ณ เวลานั้นผมคิดถึงแม่มาก คิดถึงที่สุด แม่นี่แหล่ะที่รักเรามากที่สุด ไม่น่าเลย ลูกแกใจดำใช้ได้ ไม่ใช่สิ อย่าว่าแบบนั้นเลย ลูกชายแกคงดีกว่าผม ถึงเวลาหนึ่งผมอาจจะเลวกว่าใจร้ายกว่าลูกชายแกก็เป็นได้

เราพูดคุยกันตลอดเส้นทาง ผมได้เรียนรู้อะไรได้มากมาย จนถึงสนามบินดอนเมือง 21.30 น. ผมประคองยายเดินขึ้นนกยักษ์ลำใหญ่ มันทะยานสู่ท้องฟ้า มุ่งสู่หาดใหญ่เป้าหมายของเราทั้งสอง

กลับมาได้อาทิตย์เดียว ไม่ทันได้พักผ่อน ผมต้องกลับมาทำLab ทำงานปั่นงานจนลืมว่าต้องกลับไปเยี่ยมแม่ โทรไปบอกพี่สาวเมื่อสองวันก่อน พี่คงแอบบอกแม่แน่เลย แม่แกคงเฝ้ารอทุกวัน 3 ปีแล้วสินะที่ผมออกจากบ้านมา ถึงเวลาแล้วที่พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านเสียที กลับไปกอดแม่ก่อนที่ไม่มีแม่ให้กอด เอาไงเอากัน ขอลาพักผ่อนไปสัก 3 วัน อยู่กับแม่นานๆหน่อย

……………………………………………………………………………………………………………………

10.10 น. เช้านี้อากาศดีมากลมพัดโปรยๆ เสียงนกบินหลาขับร้องประสานเสียงลม สุนทรียภาพในวันนี้คือสวรรค์เลยสำหรับผม วันนี้กลับสุราษฎร์ธานีไปหาแม่

กริ๊งๆๆ เสียงโทรศัพท์ดังสั่นไปมาบนโต๊ะทำงาน ผมหยิบมันมาดู เบอร์ใครว่ะ ไม่มีชื่อ ก่อนรับโทรศัพท์ผมเดินออกมาที่ระเบียงบ้านพัก เป็นตึก 3 ชั้น มีต้นไม้รอบๆ ผมจิบกาแฟทีนึง ถือแก้วชิวๆด้วยมือขวา รับโทรศัพท์ด้วยมือซ้าย “ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมจรัลครับ”

ผมจำได้ว่ากาแฟหลุดร่วงลงจากมือ โทรศัพท์ก็หล่นลงพื้นแตกกระเด็น กลิ่นกาแฟฟุ้งกระจาย อย่างอื่นก็จำไม่ได้เลย ทุกอย่างมันเป็นสีดำไปหมด มีเสียงกัมปนาทรุนแรงหวีดหวิว มันดังขึ้นเรื่อยๆ จนสงบลง ความรู้สึกเหมือนมีจิตรกรขนาดยักษ์นำสีมาป้ายทารอบๆตัวผม ซ้าย ขวา หน้า หลัง ทีละนิดๆจนผมมองอะไรไม่เห็น ผมคงเครียดกับงานวิจัย หรือไม่ก็ฝันไป มันเป็นความฝันที่แปลกประหลาดเอาเสียจริง

……………………………………………………………………………………………………………………

กลิ่นกาแฟแตะจมูก ใครหนอจะห้ามใจไหว คงเป็นแก้วที่ 3 แล้วสิ ผมเป็นคนหนึ่งที่หลงรักกลิ่นกาแฟแบบหลงหัวปักหัวปำ ใครจะว่าเสพย์ติด ผมก็ไม่ปฏิเสธเลย พร้อมๆกันนั้นการได้สมาคมพูดคุยเฮฮากับผองเพื่อน คือความสุขใจสุดๆหามีอะไรเทียบทานได้ ตื่นเช้ามาอากาศแจ่มใส กาแฟหอมกรุ่น มันเยี่ยมจริงๆ

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าย้ายมาอยู่ที่นี่นานเท่าไรแล้ว ไม่ได้จดจำวันเวลา รู้ว่าผมหลงรักที่นี่ ความรู้สึกเหมือนมันเป็นบ้าน แม้มิใช่บ้านเกิดก็ตามที เราอยู่ด้วยกันในบ้านนี้ทั้งหมด 5 คน ต่างคนต่างสไตล์ มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่ต้องพบเจอมันทุกวัน ไม่รู้เลยทำไมมันไม่พูดกับใคร เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว การคาดเดาของผมไปสุดคิด เขาอาจจะเป็นใบ้ก็ได้ สถานะของเขาไม่ต่างจากคนตายที่เดินได้ ผมและเพื่อนๆพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาพูด เพียงคำสองคำก็ยังดี แต่ก็งั้นแหล่ะไร้ประโยชน์สิ้นดี เงียบ!

ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด 5 คน แต่ละคนมีความแตกต่างกัน คนแรกเป็นหนอนหนังสือ วันทั้งวันมันอ่านแต่หนังสือ อยากรู้เรื่องอะไรต้องถามมัน มันรู้ทุกอย่างรู้ทุกเรื่อง คนที่สองมันเป็นอันธพาล ชอบระรานเพื่อนไปทั่ว มีปัญหากับคนอื่นตลอดเรื่องเตะต่อยเป็นกิจวัตรประจำวันของมันเลยคนนี้ คนที่สามคือนักฟุตบอลคนนี้เลยที่ไม่พูด ทำยังไงก็ไม่พูด ไม่รู้มันเป็นบ้าอะไรของมัน คนที่สี่คือ นักอนุรักษ์ มันชอบปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ เช้า-เย็น เฝ้าแต่รดน้ำพรวนดิน รอบๆบ้านต้นไม้ มันเป็นคนดูแลทั้งหมด คนที่ห้า คือ พ่อครัวหัวเห็ด เราทุกคนในบ้านฝากท้องไว้กับมันเลย พ่อครัวประจำบ้าน เรื่องฝีมือในการทำอาหารต้องยกให้เขา ฝีมือไร้เทียมทาน ทำอะไรมาเกลี้ยงทุกจานครับ

ทุกคนมีความแตกต่างกันคนละแบบ ไม่รู้เหมือนกันว่ามาอยู่รวมกันได้ไง มีอย่างหนึ่งที่เราเหมือนกันคือ ชอบกาแฟ ทุกคนชอบกินกาแฟ และทุกๆเช้าเราจะมาพร้อมกันที่ห้องนี้ เวลา 10.10 น.

ผมสังเกตมาสักพัก มีชายใส่แว่น ชุดขาวยาวเรื้อย มายืนดูผมแทบทุกวัน ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร และไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ถามเพื่อนคนอื่นก็ไม่มีใครรู้จัก “คุณครับ มากินกาแฟเร็ว ยืนอยู่ทำไม มีอะไรก็เข้ามาได้ มายืนมามองแบบนี้ไม่ดีนะครับ พวกผมต้องการความเป็นส่วนตัว” เขาสงบนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ยิ้มมุมปากความรู้สึกของเราทุกคน มีความแปลกใจ ไอ้นี่มันคงเป็นโรคจิตแน่ๆ ผมเลยตัดสินใจ เดินไปหาเขา “คุณครับอย่ามารบกวนผมเลย ผมไม่อยากมีเรื่องกับใคร คุณเป็นใครผมก็ไม่ต้องการรู้จักด้วย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคุณต้องการอะไรจากพวกผม มาดูผมได้แทบทุกวัน ถามคุณคุณๆก็ไม่ตอบ คุณอย่ายียวนนะครับ วันนี้ผมเอาเรื่องคุณแน่” ชายคนนั้นไม่ได้สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น เหมือนสิ่งที่ผมพูดไปไร้ความหมาย เขายังยิ้มยียวน ไม่พูดอะไรเลย ผมรู้สึกว่าคงเกินไปแล้วล่ะ หยามกันขนาดนี้คงต้องโดนดีบ้างแล้ว มันต้องเจ็บตัวกลับบ้านไปนอนร้องไห้ ผมก็ไม่อยากใช้ความรุนแรงกับใคร แต่กรณีนี้มันเหลือทน

เพื่อนผมคนนึงที่อยู่สไตล์อันธพาลเดินตรงเข้าหาเขา หมัดซ้ายกำแน่นชกสวนไปทันที แปลกมากชายชุดขาวหายวับไปทันที เหมือนปีศาจที่มีพลังวิเศษเรือนร่างเป็นอากาศ สามารถล่องหนไปได้ทั่ว ความรู้สึกตอนนั้นผมและเพื่อนกลัวมาก บรรยากาศเหมือนวันนั้นที่บนระเบียงบ้าน รอบตัวมีสีดำมาปกคลุม ทุกคนล้มลงทีละคน นอนลงกับพื้น ผมรู้สึกมึนงง เหมือนมีไม้กระบองตีเข้าที่ท้ายทอย ตาปิดลงช้าๆ ผมจำหน้าชายชุดขาวนั้นได้ดี

…………………………………………………………………………………………………………………….

ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เช้าแล้ว ข้าวของในบ้านกระจัดกระจายเหมือนโดนพายุร้ายพัดถล่ม มันเกิดอะไรขึ้น ผมจำไม่ได้ ทุกคนยังหลับใหลอยู่บนพื้น ปล่อยพวกเขาไปละกัน ให้นอนกันให้อิ่ม วันนี้ผมต้องไปทำ Lab ที่ยังค้างคาอยู่ ต้องวิเคราะห์ผลแล้วเขียนเป็นบทความให้อาจารย์ตรวจสอบ อาทิตย์เดียวเท่านั้น ยังไงก็ต้องทัน โอกาสดีพอเหมาะพอเจาะอาจจะไปนำเสนอผลงานที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี พลันผมเหลือบไปเห็นผ้าไหมในกล่องวางอยู่ข้างเตียง สงสัยอีกก็ไปเปิดตู้เย็นพบองุ่นฝรั่งเศสกับรังนกวางอยู่ ผมจำได้นะว่ากลับไปเยี่ยมแม่แล้ว แล้วมันมาวางอยู่ที่นี่ได้ยังไง

10.10 น. ผมยังอยู่ในบ้าน ตั้งใจไว้ 11 น.จะขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในมหาลัย ได้เวลากาแฟแล้ว ผมกระดกแก้วกาแฟหอมกรุ่น มันมาอีกแล้ว ชายชุดขาวใส่แว่น วันนี้มันมากัน 3 คน ผู้หญิง 1 คน กับเด็กหญิง 1 คน เขาจะมาดูอะไรกันอีก ทำไมเขามารังควาญผมจริงนะ ทุกวันเลย วันนี้พาเพื่อนพาเด็กมาอีก มันอะไรกันหนักหนา มันแปลกจริงคนสมัยนี้ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน มันเป็นความสุขหรืองานอดิเรกเขาเปล่านะ มีเวลาว่างมากหรือไง ถึงมาสนใจชีวิตใครเขาไปทั่ว เลิกสนใจดีกว่า บ้าได้กับพวกแบบนี้ กินกาแฟต่อดีกว่า เสร็จแล้วจะได้ไปทำLab เป้าหมายต่อไปกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี แล้วเจอกันอิสตันบูล!!

…………………………………………………………………………………………………………………….

“แม่ค่ะ คุณน้าจะหายมั้ยค่ะ นั่งคุยอยู่คนเดียว หนูสงสารคุณน้าคะแม่” “ไม่เป็นไรลูก ไม่นานค่ะคุณน้าก็จะหายแล้ว ต้องใช้เวลาสักพักกว่าคุณน้าจะจำเราได้ คุณน้าหายดีแน่นอน หวังว่าคงเร็ววัน คุณน้าลูกต้องกลับมาเป็นคนเดิม แม่สูญเสียไปทุกอย่าง เสียคุณตาคุณยาย นอกจากพ่อหนูและหนูนะลูก คุณน้าของหนูคือสิ่งหนึ่งที่แม่รักมากที่สุด แม่จะไม่ยอมสูญเสียเขาไป แม่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขาให้ได้ ”จารุณีปลอบลูกสาว สายตามองไปในห้องกระจก

“คุณหมอค่ะ น้องชายฉันอาการเป็นไงบ้างค่ะ” “ครับคุณจารุณี น้องชายคุณเสียสติอย่างรุนแรงครับ ผลกระทบจากการพลัดตกระเบียงศรีษะกระแทกพื้น ไม่เสียชีวิตก็ถือว่าดวงแข็งมากครับ สมองเกิดการกระทบกระเทือน หมอได้ทำการผ่าตัดแล้ว ตามที่คุณอนุญาตยินยอม อาการเขาดีขึ้นมากครับ หมอได้ให้ยาเขาทาน ทำการบำบัดโดยวิธีการต่างๆ ต้องมีหวังครับ เวลาจะช่วยบำบัดทุกอย่างได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม ลึกๆผมก็เสียดายนะครับ คนเก่งแบบเขา ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย ชีวิตคนเรามันตลกนะครับ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าต้องพบเจออะไรบ้าง อาจจะเจอเรื่องโจ๊กตลกขบขันหรือบางทีอาจจะเจอเรื่องสยองขวัญก็ได้” หมอสมพรกล่าวติดตลก พร้อมถามต่อ “คุณจารุณี บอกผมได้ไหมครับ มันเกิดอะไรขึ้นที่ได้เป็นแบบนี้ คุณจรัลตกใจจนช็อกพลัดตกระเบียง อย่าว่าผมเลยครับ ผมอยากรู้ เพื่อจะได้มีวิธีช่วยเขาได้ดีกว่านี้”

“ค่ะคุณหมอ จรัลเป็นน้องชายอิฉัน เขาหนีออกจากบ้านมาหลายปีแล้ว ในรอบ 3-4 ปี เขาไม่ได้ติดต่อกับแม่เลย แม่โทรหาเขาก็ไม่รับสาย แม่มาหาเขาเขาก็หลบหน้าหลบตาไม่ยอมพบเจอ สาเหตุเพราะเขากับแม่ทะเลาะกันอย่างรุนแรง ที่แม่บังคับให้เขาเรียนหมอ เขาเรียนได้ 2 ปี ก็แอบสอบย้ายไปคณะวิศวะ แม่ทราบเรื่องก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เถียงกันวุ่นวาย สุดท้ายจรัลไม่คุยกับแม่อีกเลย แม่เสียใจมาก จรัลมันก็ใจแข็งสุดๆ อาทิตย์ที่แล้ว จรัลโทรหาอิฉันบอกว่าจะกลับไปเยี่ยมแม่ อิฉันด้วยความหวังดี ก็แอบโทรบอกแม่ก่อน ว่าจรัลได้ทุนเรียนต่อปริญญาโท ซื้อของฝากกลับมากจากกรุงเทพฯมาฝากแม่ บอกไปก่อนเผื่อกลับบ้านไปแม่จะได้เตรียมอาหารที่จรัลชอบตั้งไว้ ผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง จรัลก็ยังไม่กลับบ้าน แม่ทนรอไม่ไหว เลยขับรถยนต์มาหาจรัลที่หาดใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่ามากี่ครั้งจรัลก็หลบหน้า แต่แกก็มาอีกจนได้ ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่แกมา และไม่มีทางพบจรัลอีกตลอดไป ก่อนถึงหาดใหญ่เกิดอุบัติเหตุคนขับรถสิบล้อเมาสุราประสานงากับรถของแม่ ดิฉันทราบข่าว ไม่กล้าโทรบอกจรัล ต้องฝากคุณลุงโทรบอก รู้ข่าวอีกทีว่าเขาช็อกพลัดตกระเบียงนี่แหล่ะค่ะ เขาคงเสียใจมาก” “ความเสียใจในเวลาหนึ่งมันก็เปล่าประโยชน์ การมีชัยชนะเหนือคนอื่นมันก็ไม่ได้อะไรทั้งนั้นนอกจากความสะใจ บางทีก็กลายเป็นผู้พ่ายแพ้โดยไม่รู้ตัว บางเรื่องบางเวลาเราควรยอมแพ้บางก็ได้ เพื่อจะได้อยู่กับคนอื่นอย่างมีความสุข จรัลคือ ผู้ไม่เคยยอมแพ้อะไรทั้งนั้น และเขาคือ ผู้พ่ายแพ้ตัวจริง”

หมอสมพร ยิ้มแห้งๆ ฟังจารุณีพูดจบ

ทั้ง 3 คน มองจรัลในห้องกระจก เขาเดินไปเดินมา บางทีก็วิ่ง บางก็ยืนกวนอะไรสักอย่าง บางก็ก็เตะต่อยลมไปมา บางทีก็ทำท่าขุดดินพรวนดิน รดน้ำต้นไม้ จนถึงทำท่าปรุงอาหาร จนเสริฟไปมาให้คนโน้นคนนี้ และสุดท้ายก็วนกลับมาอิริยาบถเดิม คือ ท่านั่งดื่มกาแฟ ในมือมีแก้วพลาสติกใส่น้ำ กับเก้าอี้ไม้ตัวเก่าๆ มองไปที่ฝาผนังริมหน้าต่าง นาฬิกาสีขาวยี่ห้อ SEIKO คงเวลาเดิมเอาไว้ที่ 10.10 น.

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงัน…..เคล้ากลิ่นกาแฟ..

………เจ้าชาย……

15 สิงหา 58

หมายเลขบันทึก: 595397เขียนเมื่อ 28 กันยายน 2015 09:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 กันยายน 2015 09:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สนุกค่ะ..(นานมาแล้ว..ที่อ่านอะไรไม่จบ)..วันนี้อ่านเป็นครั้งแรกตั้งแต่ต้น..จน..จบ..(เจ้าค่ะ)..และคิดถึงยายแก่คนนั้น...กับคนชื่อจรัล...และแก้ว..กาแฟ...

ชีวิต..คือ ละคร..(ยอดเยี่ยม)..ทุกคนแสดงบทบาท ที่ไม่แตกต่าง..ทุกบททุกตอน...รัก โลภ โกธร หลง

ปิดฉาก ลง..ด้วย บท "ตาย"..

สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น จำเป็นเหลือเกินที่เราควรฝากฝังความรักซึ่งกันและกันก่อนจากหายตายกันไป ^^


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท