อยากเป็นหมอ อยากขับเรือบิน


"จิ๋ม เรียนหมอจบแล้วเราอยากไปเรียนเป็นนักบิน" ผมบอกจิ๋มออกไปในวันหนึ่งขณะที่เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๖ กำลังฝึกงานอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช

ผมบอกแฟนผมออกไปอย่างนั้นจริงๆ เพราะตอนนั้นทราบมาว่าคนที่จะสมัครไปเป็นนักเรียนการบินได้นั้นต้องเรียนจบปริญญาตรีมาก่อน (จริงเหรอ)

ผมอยากเป็นคนขับเครื่องบิน ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นโผล่ออกมาจากสมองคนกลัวความสูงอย่างผมได้อย่างไร ไม่รู้จริงๆครับ รู้แต่ว่าคนเป็นนักบินได้มันต้องเจ๋ง เพราะคนๆนึงนำเครื่องบินหนักตั้งกี่ตันบินทะยานขึ้นฟ้าได้ เขาต้องไม่ธรรมดา ปุ่มนับพันที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถจดจำได้ว่ามันเอาไว้ทำอะไร เขาต้องไม่ธรรมดา อากาศยานที่สามารถถูกทำให้จอดได้ในระยะทางสั้นๆ ทั้งๆที่มันมีความเร็วกว่า ๓๐๐ กม/ชม. เขาต้องไม่ธรรมดา

"อย่าไปเลยนะ" จิ๋มไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าประโยคนี้จริงๆ

................

หลังจากเลิกประชุมราวบ่าย ๓ ของวันนี้ ใจของผมมันร้อนรุ่มจนไม่สามารถบังคับให้ตัวเองนั่งทำงานต่อไปได้ หลังจากจัดกระเป๋าเสร็จ ผมจึงตัดสินใจออกจากที่ทำงานเพื่อกลับบ้านทันที มันเป็นการกลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานในไม่กี่ครั้งหลังจากขึ้นมาทำงานในตำแหน่งบริหาร เพราะปกตินั้นเวลาออกจากโรงพยาบาลของผมก็อยู่ในช่วง ๕โมงครึ่ง บางวันกว่าจะเลิกก็ราว ๖โมงเย็น คนไข้ประจำที่คลินิกรู้เวลานี้ของผมดี

ในช่วงเช้าวันนี้ผมได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์พี่เปิ้ล เธอไปร่วมประชุมกับที่ประชุมแห่งหนึ่งแล้วเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการเบิกจ่ายเงินตามสิทธิ์ของคนไข้

เรื่องมันมีอยู่ว่า คนท้องของพวกเรา (ผมใช้คำว่าของพวกเราเสมอครับ เพราะเราเป็นหมอสูติ ดังนั้น คนท้องต้องเป็นของเราแน่ๆ) ที่มีอายุเกิน ๓๕ ปี โดยปกติจะได้รับคำแนะนำให้รับการเจาะน้ำคร่ำ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะมีลูกเป็น Down syndrome ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คนท้องจะไม่ได้รับการส่งตัวเข้ามาที่ ม.อ.เพื่อรับการเจาะน้ำคร่ำ ใครใคร่อยากถูกเจาะก็มาหาหมอที่ ม.อ.เอาเอง

ในเบื้องต้นก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ นี่เขากลัวต้องทำแท้งให้คนท้องที่มีลูกในท้องมีโครโมโซมผิดปกติกันจนถึงขนาดนี้เชียวหรือ หมอบางคนจะไม่ยอมรับฝากพิเศษในคนท้องสูงอายุจนกว่าจะมีการยืนยันว่าได้รับการเจาะตรวจน้ำคร่ำมาแล้ว และผลต้องปกติก่อนเท่านั้น

นี่มันขนาดนี้เชียวหรือ (อุทานในใจดังๆอีกรอบ)

แต่เสียงปลายสายจากอาจารย์ป้าเปิ้ลบอกมาว่า ทางโรงพยาบาลต้นทางไม่ส่งมาเจาะน้ำคร่ำ เพราะไม่ถูกรวมอยู่ในสิทธิ์ ๓๐ บาท ไม่มีคนจ่าย ไม่มี สปสช.จ่ายให้ ดังนั้นใครอยากถูกเจาะ ก็ไปกันเอง จ่ายเอง

เธอคงหงุดหงิดในใจมากๆจึงต้องรีบโทรศัพท์มาหาผม และผมก็ยืนยันไปว่า ไม่มีใครไม่มีสิทธิ์ หากมีความจำเป็นทางการแพทย์ เราก็ต้องจัดหาบริการให้คนไข้ ผมบอกเธอไปแค่นี้ แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดน่าจะเท่าๆกับพี่เปิ้ล

ผมเดินกลับเข้าไปนั่งในห้องทำงานแล้วนึกวิเคราะห์ ว่าที่มาที่ไปของความคิดไม่ตรงกันในเรื่องนี้เกิดขึ้นจากสาเหตุใด หมอไม่อยากทำแท้ง หมอไม่อยากรับภาระ หมอไม่อยากให้โรงพยาบาลรับภาระค่าใช้จ่าย หมอไม่รู้ หมอไม่อยากทำแท้ง หมอไม่อยากรับภาระ หมอไม่อยากให้โรงพยาบาลรับภาระค่าใช้จ่าย หมอไม่รู้ (อ้าวซ้ำ) คิดไปคิดมาก็เย็นลง การนั่งนิ่งๆทำให้สติเริ่มมา เออ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเรานะ มันเป็นเรื่องของคนท้อง ทำไมจึงอยากมาท้องตอนแก่ อีตอนสาวๆไม่นึกอยากจะท้อง (บางคนเริ่มระแวงตัวเองสินะ) การท้องตอนแก่เป็นโรคทำเอง คิดได้ดั่งนั้นผมจึงเริ่มทำงานอย่างอื่นต่อไป

.................

มีคนเคยบอกว่า การทำงานของกัปตันและหมอมีความคล้ายคลึงกัน

กัปตัน เวลาทำงานจะถูกห้อมล้อมด้วยสาวๆแอร์โฮสเตสสวยๆ

หมอ เวลาทำงานก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยสาวๆพยาบาล (สวยมากบ้าง สวยน้อยบ้าง)

มันต่างกันตรงที่ว่า สาวๆของกัปตันนั้นถูกคัดสรรมาอย่างดี สาว สวย เสิร์ฟเก่ง ยิ้มสยาม เธอคือนางฟ้าชัดๆ แต่ในขณะที่ของหมอก็คือพยาบาลชุดขาว ทำงานท่ามกลางคนไข้นับร้อยต่อวัน บางโรงพยาบาลไม่มีแอร์ให้ความเย็น กลับบ้านกันแต่ละคนหน้ามันเป็นเมือก และงานของพยาบาลของพวกเราก็คือการพยาบาล เธอเหล่านั้นต้องอยู่กับเลือด แผล ขี้ และเยี่ยว ดูน่ารักดีนะครับ นางฟ้ากลางวอร์ด

เรื่องนี้ทำให้ผมอิจฉากัปตันอยู่บ่อยๆ

...............................

เมื่อคืนขณะที่ผมนั่งตบยุงอยู่ที่คลินิก ก็มีคนท้องเดินเข้ามาหาพร้อมกับสามี

"หมอคะ หมอช่วยหนูหน่อยได้ไหม" เธอเปิดการสนทนาด้วยวลีที่ทำให้ผมต้องขนหัวลุกทุกครั้ง "หนูไปตรวจอัลตราซาวนด์มาแล้วหมอบอกว่าลูกมีความพิการค่ะ"

"แล้วเป็นยังไงต่อครับ" ผมถามออกไปเพื่อถ่วงเวลาคุยและปรับอารมณ์ราวกับรู้ว่าประโยคต่อไปจะเป็นเช่นไร

"หมอคนที่ทำอัลตราซาวนด์ส่งหนูกลับไปให้หมอคนที่เคยดูแลตัดสินใจค่ะ" เธอบอก

"หมอที่โรงพยาบาลก็บอกว่าให้หนูท้องต่อ" นั่นไง ผมว่าแล้ว (ในใจ)

"เอาอย่างนี้นะครับ พรุ่งนี้ไปโรงพยาบาล ม.อ. ที่นั่นจะมีการดูแลเธออย่างดี ผมเชื่อว่าเขาจะตรวจอัลตราซาวนด์เธออีกครั้ง และจะมีทีมหมอคุยกัน เราดูแลกันเป็นทีมในกรณีที่พิการรุนแรงก็จะทำแท้งให้ถ้าเธอต้องการ"

"หมอจะเป็นคนทำแท้งให้หนูใช่ไหม" เธอถาม ผมไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มให้เธอไป

ล่วงมาจนถึงช่วงบ่าย ระหว่างที่กำลังประชุมอยู่นั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกศิษย์เพื่อขอให้ผมรับเป็นเจ้าของคนไข้คนหนึ่งเพื่อทำแท้ง คนๆนั้นก็คือเธอ คนที่มีลูกพิการตั้งแต่สมองยันกระดูกสันหลัง เสียงปลายสายบอกว่า ได้รายงานอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว อาจารย์บอกว่าให้ส่งคนไข้กลับโรงพยาบาลเดิมเพื่อให้เขาทำแท้ง

ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่เปิ้ลฟัง ประหนึ่งเป็นการเอาคืน เธอบอกว่า "ทำแท้งให้เขาเถอะแป๊ะ เดี๋ยวพี่ดูให้เอง"

ผมกลับบ้านแล้วนั่งบันทึกเรื่องนี้ น้องจ้าซึ่งนอนอ่านอยู่ก็ถามผมว่า "แล้วพ่อทำแท้งให้เขาไหม" ผมจึงถามกลับไปว่า "เอ...ลูกจ๋า ถ้าพ่อไม่ทำ แล้วใครจะทำ"

................

ผมยังคงไม่ทิ้งความฝันของการเป็นนักบิน แม้นไม่ได้ไปเรียนการบิน เวลาว่างส่วนหนึ่งของผมก็คือการดูวิถีนักบินจากคุณท่อ การเฝ้ามองเครื่องบินบนฟ้าผ่าน flight radar และการพูดคุยกับเพื่อนบางคนที่บ้าเรื่องเครื่องบิน

มีคนบอกว่า หากกัปตันผิดพลาด คนที่ตายคือตายยกลำ แต่หากหมอพลาด คนที่ตายก็คือคนไข้เพียงคนเดียว (เดี๋ยวนี้ หมออาจจะตายไปด้วย) ความเสียหายจึงต่างกัน แต่ในความเห็นของผม ไม่ว่าจะตายกี่คน หากแม้นเป็นการตายโดยไม่สมควร มันก็คือความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน

นักบินขับอากาศยานที่มีการดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง โอกาสความผิดพลาดที่เกิดจากตัวคนจะถูกผ่องถ่ายไปยังการควบคุมผ่านระบบต่างๆ เขาใช้วิทยาศาสตร์และสมองของนักบินผนวกกันในการควบคุมการบิน ทำให้ในทุกขณะวินาทีนี้ที่มีเครื่องบินอยู่บนฟ้าราว ๓ พันลำนั้น มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุทางการบินน้อยกว่าหนึ่งในล้าน (ตัวเลขนี่เอามั่วเป็นที่ตั้งนะครับ)

แต่หมอนั้นน่าจะต่างกัน เพราะถึงแม้จะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากมาย มีองค์ความรู้มากมาย แต่หมอส่วนหนึ่งยังใช้ความเชื่อในการประกอบวิชาชีพ ยังคงเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษทั้งในชาตินี้ชาติหน้า โดยลืมนึกไปว่า เรากำลังรักษาคน คนที่มีชีวิตและใช้ชีวิตอยู่ตรงหน้าเรานี้ เราเกรงกลัวบาปจากการทำแท้งจนลืมนึกไปว่า วิชาชีพของเราคือการช่วยเหลือคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เรากลัวเสียประโยชน์ในการไปเกิดเป็นคนที่สมบูรณ์ในชาติหน้า

ได้พักใจที่บ้านเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็ถึงเวลาไปร้าน แหงนมองไปยังก้อนเมฆเห็นเรือบินทะยานขึ้นท้องฟ้า ในใจก็นึกร่มครึ้มประหนึ่งว่าเราเป็นคนขับลำนั้น

แมร่ง กรูอยากขับเครื่องบินจริงๆว่ะ

ธนพันธ์ prepare for landing

สงวนวันที่

หมายเลขบันทึก: 594599เขียนเมื่อ 9 กันยายน 2015 23:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กันยายน 2015 23:14 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อ่านแล้วยิ้มๆ เอาหลายเรื่องมายำรวมกันเก่งจริงๆค่ะ อ.แปร๊ะ
ตอนนี้ลูกชายพี่โอ๋คนกลางเขากำลังจะเดินตามฝัน จบตรีกฎหมาย (เอาปริญญาเพื่อไปสมัครเรียนนักบิน) เตรียมสอบเนฯและรอสายการบินเปิดรับสมัคร เพื่อไปเรียน (สมัครเรียนเอง โคตรแพงเลย) ความฝันต่อไปของเขาคืออยากเป็นเชฟ นี่ถ้าลูกเขียนเล่าได้เก่งแบบอาจารย์คงจะดี

เอิ่มมมมม แบบนั้นยังงงงงมั้ยอ่ะพี่โอ๋

เรียนกฎหมาย จะขับเครื่องบิน อยากเป็นเชฟ

ก็เลยเข้ากั๊น เข้ากันกับเรื่องของอาจารย์ไง เป็นหมอแต่อยากขับเครื่องบิน นี่เป็นนักกฎหมาย และตั้งใจจะต่อเป็นนักบิน แล้วก็ขับเครื่องบิน ไปเป็นเชฟต่อ รอติดตามอยู่ค่ะ ว่าจะไปถึงฝันเมื่อไหร่ เหมือนที่จะรอดูว่าหมอที่อยากขับเครื่องบิน ถ้าน้องจ้าได้ยินบ่อยๆอาจจะเป็นนักบินให้พ่อนั่งคู่ก็ได้นะคะ เดี๋ยวนี้นักบินหญิงคนไทยก็มีแล้ว วันก่อนยังนั่งเลย ตอน landing ยังไม่นุ่มเท่าไหร่ อิอิ

อ่านแล้วได้ยิ้มเสมอ

น้องจ้าคงเข้าใจคุณพ่อน่าดู

แต่ความฝันน่าสนใจนะครับ

ฝนตกช่วงนี้ landing ดีๆนะครับ 555

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท