701. เรียนรู้ศาสตร์ OD จาก "สามก๊ก" (ตอนที่ 31)


เมื่อเจาะสามก๊กไปเรื่อยๆก็พบแง่มุมที่น่าสนใจมากๆ และก็เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาหลายประเด็น เช่นทำไม่เล่าปี่ขึ้นมาครองราชย์แล้ว ถึงกับไม่ฟังใคร เอาความแค้นเป็นตัวตั้งมากกว่าอุดมการณ์จนยกทัพเอาไปรบกับง่อก๊ก โดยไม่ฟังคำทัดทาน ส่วนขงเบ้งก็ดูเหมือนไม่ทำอะไร พอรู้ว่าเล่าปี่ตั้งค่ายแบบขาดกลยุทธ์ จะช่วยอะไรก็ช่วยไม่ทัน ที่สุดทัพเล่าปี่ก็ถูกเผา จ๊กก๊กเลยเสียศูนย์

คำถามที่คาใจผมมาตลอดคือทำไม่ขงเบ้งไม่พยายามมากกว่านี้ มีอะไรปิดกั้นหรือ

ผมว่ามี แต่ยังไม่ชัดมาดูกันต่อ

เล่าเสี้ยนขึ้นครองราชย์ต่อจากเล่าปี่ ก็ดูกลายเป็นฮ่องเต้ที่ไร้สติปัญญา วันๆไม่ทำอะไรเล่นแต่จิ้งหรีด

Credit: http://koei.wikia.com/wiki/Liu_Shan

คำถามคือมีอะไรปิดกั้น ไม่ให้ใครมาอบรมสอนสั่งให้เล่าเสี้ยนกลายมาเป็นฮ่องเต้เก่งๆ

อะไรที่ปิดกั้นอยู่

พอกันครับรุ่นลูกหลานของซุนกวน โจโฉก็ดูไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ อะไรปิดกั้นครับไม่ให้มีใครเข้าไปสั่งสอน โค้ชจนพวกเจ้านายพวกนี้กลายเป็นคนเก่งในอนาคต

แล้วทำไมลูกหลานสุมาอี้เก่งครับ อะไรที่ลูกหลานสุมาอี้ได้รับไม่เหมือนคนอื่น

ดูเหมือนจุดร่วมของลูกหลานเล่าปี่ ซุนกวน โจโฉรุ่นหลังๆ เกิดขึ้นตอนที่พ่อเป็นท่านอ๋อง และฮ่องเต้ ที่เป็นผู้นำรัฐแล้ว ผมเห็นชัดมากๆ ว่าเด็กๆ ทั้งหมดของสามผู้นำนี้ถูกปฏิบัติแบบรัชทายาท มีการปกป้องชีวิตกันอย่างสุดกำลัง แถมมีประเพณีต่างๆ พวกเขาเหมือนกลายเป็นโอรสแห่งสวรรค์

นี่น่าจะเป็นอะไรที่ปิดกันอยู่ ผมสันนิษฐานว่าเป็นวัฒนธรรมนั่นเอง เอาตั้งแต่เล่าปี่เมื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ท่าทีของขงเบ้งเปลี่ยนไป เล่าปี่เปลี่ยนสถานะจากหัวหน้าก๊กที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา กลายเป็นเจ้าชีวิต เหมือนเล่าปี่แยกสถานะลอยออกไป สิ่งที่เล่าปี่คิดพูดหลายเป็นอาญาสิทธิ์ของโอรสแห่งสวรรค์ ไม่มีใครอยากทัดทานอย่างแข็งแกร้าวเหมือนก่อน เมื่อมีคนทัดทานก็เกือบถูกประหาร ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากพูดตรงๆโดยไม่จำเป็นกับเหล่าโอรสสวรรค์พวกนี้อีก ที่สำคัญเมื่อกลายเป็นฮ่องเต้ เริ่มมีประเพณีเข้ามานั่นคือการมีขันทีเข้าไปดูแล

ดูเหมือนเหล่าผู้นำก่อนผงาดขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรมาปิดกั้นพวกเขากับคนเก่งรอบๆตัว ไม่มีขันที ไม่มีความกลัว ไม่มีความเคารพอย่างกลัวตายมาครอบงำ ไม่มีขันทีผู้ที่ไม่ได้สั่งสมภูมิปัญญาอะไรในการสร้างอาณาจักรและการบริหารการปกครองมารายล้อม พวกนี้อาจเก่งครับ แต่ก็ไม่ได้ลงสนามจริง ไม่ได้สัมผัสโลกแห่งความเป็นจริงนอกกำแพงวัง

ผมว่าสิ่งที่ทำลายสามก๊กเองก็คือวัฒนธรรมนี่เอง

ดูให้ดีครับคุณจะเห็นลูกหลานสุมาอี้ ไม่ได้ถูกปิดกั้น ถูกเก็บไว้ในภาชนะปิดอย่างกำแพงวัง และถูกรายล้อมด้วยกลุ่มบุคคล ที่ไม่มีความรู้ อุดมการณ์ ฝีมือที่จะช่วยเหลือให้พวกเขาครองแผ่นดินได้

Credit: http://tieba.baidu.com/p/552452630

ลูกหลานสุมาอี้ออกไปลุยกับพ่อกับปู่ ได้มีโอกาสคบหาสมาคมกับคนเก่ง และไม่มีกำแพงประเพณีเรื่องความกลัวเกรงประกาศิตจากสวรรค์ ที่สุดเมื่อไม่มีวัฒนธรรมแบบโอรสสวรรค์มาปิดกั้น พวกเขาก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนแกร่ง

วัฒนธรรมองค์กร (Culture) นี่ ในองค์กรสมัยใหม่เราถือว่าสำคัญมากๆ วัฒนธรรมคือสิ่งที่ยอมรับร่วมกัน ..ผมเคยนั่งเรียนกับท่านอาจารย์ทรายแห่งสำนัก HROD NIDA ท่านพูดว่าวัฒนธรรมมีแบบ By Default (ยอมรับตามนั้น) กับ By Design (ออกแบบขึ้นใหม่)

เราจะเห็นว่าสิ่งที่ทั้งสามก๊กไม่ได้ทำคือการออกแบบวัฒนธรรมองค์กรขึ้นใหม่ ไม่มีใครเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จะว่าไปจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดสามก๊กก็คือวิกฤตกาลสิบขันที ที่สร้างความวุ่นวายให้ราชวงค์ฮั่นนั่นเอง

ผมก็แปลกใจมานานว่าทำไมในเมื่อระบบขันทีสร้างปัญหา แต่เมื่อตั้งตัวกันได้ ก็นำกลับมาเฉยครับ นี่ไงเราเรียกว่า Default

เมื่อตัวเองสร้างตัวมาจากความลำบาก คบหาคนเก่งมากมาย อู่ในสภาพแวดล้อมแบบเปิด คลุกคลีกับกองทัพและประชาชน พอได้ดีเท่านั้นเอง จับลูกเข้าไปอยู่ในสภพาแวดล้อมแบบปิด รายล้อมด้วยคนที่ไม่มีความรู้อุดมการณ์ นี่ก็คือวัฒนธรรมแบบ Bu Default ชัดๆ

วัฒนธรรมนั้นผมมองว่าถ้าจะให้ดีต้องเป็นส่ิงที่เรายอมรับร่วมกัน แล้วจะทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีชีวิตที่ดี ถ้าองค์กรก็ต้องเป็นองค์กรที่ดีแข็งแกร่งยั่งยืน

เราต้องมาทบทวนกันครับว่าอะไรคือสิ่งที่ยอมรับร่วมกัน แล้วอาจนำมาสู่หายนะในอนาคต

ไม่สำรวจไม่ทบทวนก็ไม่ไหวครับ

ทบทวนอย่างไร

หา Idol ครับ ดีที่สุด เช่นไปทำ Workshop เรื่องการเงิน เพราะคนในองค์กรบ่นไม่มีตังค์ทำไงดี ผมก็ตั้งคำถามว่า แล้ว Idol เรื่องการเงินของท่านคือใคร เอาคนที่เกษียณแล้วนะแล้วดูมีการเงินดี ชีวิตดี สมัยๆหนุ่มๆ สาวๆ เขาใช้ชีวิตอย่างไร

ภาพรวมที่เราเจอจากหลายคนพูดคือ ส่วนใหญ่จะทำมาหากิน เก็บหอมรอมริบ ลงทุนสมัยหนุ่มๆ สาวๆ ประมาณว่าตึงตอนต้นแล้วมาสบายตอนบั้นปลาย ทั้งนั้นเลย

ก็เริ่มเห็นแล้วว่าชีวิตของลูกศิษย์ของผมตอนนี้ “หย่อน” ครับ ตั้งหน้าทำงานจริงๆ แต่ไม่เก็บเลย

พอพูดอย่างน้ีเขาบอกเลยว่ามันไม่ได้อาจารย์ ก็สังคมรอบตัวมีมาก ไม่แคร์ไม่ได้

นี่คิดเหมือนกันทั่งห้องเลย นี่ไงครับสิ่งที่ยอมรับร่วมกัน By Default ชัดๆ

ผมเลยตั้งคำถามอีกรอบ มาดูคนที่เป็น Idol เรื่องการเงินคุณ ไมีใครแคร์เสียงชาวบ้านไหม มีใครมามีความสุขกับอบายมุขไหม ตั้งวงกันมันทุกวัน ...ปรากฏว่าไม่มีเลยครับ พวกที่เป็น Idol ของลูกศิษย์ผมไม่ค่อยแคร์ชาวโลก อบายมุขแทบไม่มี

ที่สุดผมก็เลยบอกว่านี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นไม่ใช่หรือ ถ้าสิ่งที่คุณยอมรับอยู่ไม่ดี ไม่ทำให้คุณมีความมั่นคงทางการเงิน แล้วคุณจะยอมรับทำไม คุณออกแบบชีวิต และวัฒนธรรมใหม่ได้

เห็นไหมครับไม่ตรวจสอบไม่ได้ ลองมานั่งทำกันนะครับ

หาต้นแบบ Idol หลายๆเรื่องมานั่งคุยกัน แล้วออกแบบวัฒนธรรม สิ่งที่ยอมรับร่วมกันใหม่ๆ

ไม่อย่างนั้นวัฒนธรรมดีๆที่คุณเห็นจริงๆแล้วอาจเป็น “หายนะธรรม” ก็ได้ คือยอมรับร่วมกันเพื่อที่จะลงเหวไปด้วยกัน ตัวใครตัวมัน ผมไม่เอาด้วยนะครับ

และสุดท้ายขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ทราย ท่านอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร และวัฒนธรรมองค์กรแห่ง HROD NIDA นะครับ

ต้องบอกว่าเสียดายเหล่าผู้นำในยุคสามก๊กเล่าปี่ ซุนกวน โจโฉไม่รู้จักอาจารย์ทราย ไม่มีโอกาสได้เข้าฟังท่านครับ ถ้าได้ฟังสุมาอี้คงไม่ได้กินรวบแน่

ผมเองก็โชคดีที่ได้รู้จักอาจารย์ทรายและได้ฟังแนวคิดดีๆนี้ครับ

ชีวิตนี้จะไม่ปล่อยตามบุญตามกรรม By Default ครับ เพราะว่าชีวิตเรา องค์กรเราออกแบบได้ By Design ครับ

วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

ด้วยรักและปราถนาดี

ดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์ www.aithailand.org


หมายเลขบันทึก: 593947เขียนเมื่อ 26 สิงหาคม 2015 11:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม 2015 11:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สุดยอดมากครับ

เป็นความจริงทีเดียว คนส่วนหนึ่ง เมื่อยามได้ดี ขึ้นสู่ที่สูง ได้รับการยอมรับ ยกย่อง มักไม่ฟังเสียงของใคร นอกจากเสียงตัวเอง

บทความดีๆของอาจารย์มีคุณค่ายิ่ง จะขออนุญาตมาทะยอยอ่าน

กว่าจะเขียนได้ ใช้เวลาอย่างมาก แต่คนอ่านใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ได้ประโยชน์อย่างกว้างไกล

ขอขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท