วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นลูกสุกรเพศเมียตัวหนึ่ง จึงได้ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เถระเห็นอาการแย้มพระโอษฐ์ของพระองค์เช่นนั้น จึงทูลถามเหตุว่า " อะไรหนอเป็นเหตุแห่งการทำการแย้มให้ปรากฏพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสกะพระอานนท์ว่า "อานนท์ เธอเห็นนางลูกสุกรนั่นไหม?"
พระอานนท์ “เห็น พระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้า “นางลูกสุกรนั้นได้เกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ในที่ใกล้โรงฉันแห่งหนึ่งในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "กกุสันธะ" นางไก่นั้นฟังเสียงประกาศธรรมของภิกษุผู้เป็นโยคาวจรรูปหนึ่งสาธยายวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วได้เกิดในราชตระกูล เป็นราชธิดาพระนามว่า อุพพรี ในกาลต่อมา พระนางเสด็จเข้าไปยังสถานเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้ว ยังปุฬวกสัญญาให้เกิดขึ้นในที่นั้น ได้ปฐมฌานแล้ว พระนางดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในพรหมโลก ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว สับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ จึงเกิดเป็นสุกรในบัดนี้ เราเห็นเหตุการณ์นี้ จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ”
ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนท์เถระเป็นประมุข สดับเรื่องนั้นแล้วได้ความสังเวชเป็นอันมาก พระพุทธเจ้าเมื่อทรงยังความสังเวชให้เกิดแก่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงประกาศโทษแห่งราคะตัณหา ประทับยืนอยู่ระหว่างถนนนั่นเอง ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
“ต้นไม้ เมื่อรากยังอยู่ ยังมั่นคง ถึงบุคคลตัดแล้ว ย่อมงอกขึ้นได้อีกทีเดียว แม้ฉันใด, ทุกข์นี้ เมื่อตัณหานุสัยอันบุคคลยังขจัดไม่ได้แล้ว ย่อมเกิดขึ้นร่ำไป แม้ฉันนั้น กระแส (แห่งตัณหา) ๓๖ อันไหลไปในอารมณ์ เป็นที่ พอใจ เป็นธรรมชาติกล้า ย่อมมีแก่บุคคลใด ความดำริทั้งหลายอันใหญ่ อาศัยราคะย่อมนำบุคคล ผู้มีทิฏฐิชั่วนั้นไป
กระแสแห่งตัณหาทั้งหลาย ย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาดุจเถาวัลย์แตกขึ้นแล้วย่อมตั้งอยู่ ก็ท่านทั้งหลายเห็นตัณหานั้น เป็นดังเถาวัลย์เกิดแล้ว จงตัดรากเสียด้วยปัญญาเถิด โสมนัสทั้งหลายที่ซ่านไป และเปื้อนตัณหาดุจยางเหนียวย่อมมีแก่สัตว์ สัตว์ทั้งหลายนั้นเพราะอาศัยความสำราญ จึงเป็นผู้แสวงหาความสุข นระเหล่านั้นแล ย่อมเป็นผู้เข้าถึงซึ่งชาติชรา
หมู่สัตว์ อันตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้ว ย่อมกระเสือก กระสน เหมือนกระต่ายอันนายพรานดักได้แล้วฉะนั้น หมู่สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสังโยชน์และกิเลสเครื่องข้อง ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ อยู่ช้านาน
หมู่สัตว์อันตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้ว ย่อมกระเสือกกระสนเหมือนกระต่ายที่นายพรานดักได้แล้วฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ภิกษุหวังธรรมเป็นที่สำรอกกิเลสแก่ตน พึงบรรเทาตัณหาผู้ทำความดิ้นรนเสีย”
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
ส่วนนางลูกสุกรนั้น จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในราชตระกูล ในสุวรรณภูมิ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในกรุงพาราณสี
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนพ่อค้าม้าที่ท่าสุปปารกะ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของนายเรือที่ท่าคาวิระ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของอิสรชน ในเมืองอนุราธบุรี
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดเป็นธิดาในเรือนของกุฎุมพีชื่อสุมนะ ในเภกกันตคาม ในทิศทักษิณของเมืองนั้น ชื่อสุมนา ตามชื่อ ของกุฎุมพีนั้น ต่อมา บิดาของนาง เมื่อชนทั้งหลายทิ้งบ้านนั้นแล้ว ได้ไปสู่แคว้นทีฆวาปีอยู่ในบ้านชื่อมหามุนีคาม อำมาตย์ของพระเจ้าทุฏฐคามณี นามว่าลกุณฏกอติมพระ ไปที่บ้านนั้นด้วยกิจบางอย่าง เห็นนางแล้ว ทำการวิวาห์ พานางไปสู่บ้านมหาปุณณคาม
ครั้งนั้น พระมหาอตุลเถระ เที่ยวไปในบ้านนั้น เพื่อบิณฑบาต ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนาง เห็นนางแล้ว จึงกล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ผู้มีอายุทั้งหลาย ชื่อว่านางลูกสุกร ถึงความเป็นภรรยาของมหาอำมาตย์ชื่อลกุณฏกอติมพระแล้ว โอ! น่าอัศจรรย์จริง."
นางฟังคำนั้นแล้วเพิกภพในอดีตขึ้นได้ กลับได้ญาณอันเป็นเหตุระลึกชาติ ในขณะนั้นนั่นเอง นางเกิดความสังเวชในสังสารวัฏฏ์เป็นอันมาก อ้อนวอนสามีบวชในสำนักพระเถรีผู้ประกอบด้วยพละ ๕ ด้วยอิสริยยศอย่างใหญ่ ได้ฟังกถาพรรณนา มหาสติปัฏฐานสูตร ในติสสมหาวิหารแล้ว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
ภายหลัง เมื่อพระเจ้าทุฏฐคามณีทรงปราบทมิฬได้แล้ว พระสุมนาเถรีไปสู่บ้านเภกกันตคาม ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาบิดานั่นเทียว อยู่ในบ้านนั้น ฟัง อาสีวิสูปมสูตร ในกัลลกมหาวิหาร บรรลุพระอรหันต์
ในวันปรินิพพาน นางถูกพวกภิกษุณีซักถาม จึงได้เล่าประวัติทั้งหมดนี้อย่างละเอียด- แก่ภิกษุณีสงฆ์ แล้วสนทนากับพระมหาติสสเถระผู้กล่าวบทแห่งธรรม ผู้มีปกติอยู่ในมณฑลาราม ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ผู้ประชุมกันแล้ว กล่าวว่า "ในกาลก่อน ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดมนุษย์แล้ว เป็นแม่ไก่ ถูกตัดศีรษะจากเหยี่ยวในอัตภาพนั้นแล้ว ไปเกิดในกรุงราชคฤห์ แล้วบวชในสำนักนางปริพาชิกาทั้งหลาย แล้วเกิดในภูมิปฐมฌาน
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในตระกูลเศรษฐี ต่อกาลไม่นานนัก
จุติแล้ว ไปสู่กำเนิดสุกร
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่สุวรรณภูมิ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่เมืองพาราณสี
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่ท่าสุปปารกะ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่ท่าคาวิระ
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่เมืองอนุราธบุรี
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่บ้านเภกกันตคาม,
ข้าพเจ้าได้ถึงอัตภาพ ๑๓ อันสูงๆ ต่ำๆ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้
บัดนี้ เกิดในอัตภาพอันอุกฤษฏ์แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายแม้ทั้งหมด จงยังธรรมเป็นกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด."
ดังนี้แล้ว ยังบริษัท ๔ ให้สังเวชแล้ว ปรินิพพาน
ไม่มีความเห็น