พูดถึงการออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ หรือ Mobile Unit มา 2 ตอนแล้ว ต่อไปนี้อยากจะทบทวนความหลังถึงการที่ผมได้ออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ครั้งแรกแล้วประทับใจ จึงออกหน่วยฯต่อมาอีกหลายครั้ง เผื่อจะมีอะไรไปเปลี่ยนใจคนที่ยังไม่เคยออกหน่วยให้ได้ทราบบ้าง ดังบทความที่ผมเขียนดังต่อไปนี้
การออก Mobile Unit ให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
ผมได้มีโอกาสเดินทางออกไปให้บริการเคลื่อนที่เพื่อพัฒนาสุขภาพและอาชีพประชาชน
ของ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นครั้งแรกในชีวิต (จริง ๆ) เมื่อวันที่ 22-23 พฤษภาคม
2548 การที่ต้องออกให้บริการในครั้งนี้
มาจากเหตุที่อาจารย์วิจิตร อุดอ้าย ซึ่งอยู่คณะวิทยาศาสตร์
ภาควิชาเคมี ได้ปรารภว่า”เหนื่อย”
เนื่องจากต้องเป็นตัวแทนของคณะฯ ไปออกให้บริการเกือบทุกครั้ง (ใน 12
เดือน แถมยังเป็นคนแรกๆ ของคณะฯ ที่ไปให้บริการ)
จึงขอให้ช่วยไปให้บริการกันบ้าง ซึ่งปี 2548
นี้ผมได้รับการขอร้องแกมบังคับ จากหัวหน้าภาควิชาชีววิทยา
ให้เป็นตัวแทนของภาควิชา ออกไปให้บริการในนามคณะวิทยาศาสตร์
แต่ผมก็ไม่พร้อมสักที จนกระทั่งครั้งนี้ผมออกไปให้บริการในฐานะ
ผู้ออกไปสังเกตการณ์
วันแรกผมได้ไปสังเกตการณ์จริง
ๆ คือ พาแต่ตัวเองไป ไม่ได้เตรียมสิ่งของไปให้บริการเลย
สถานที่ออกให้บริการคือ โรงเรียนโพธิธรรมสุวัฒน์ ตำบลโพทะเล
จังหวัดพิจิตร พอขึ้นรถบัสปรับอากาศของคณะแพทย์ศาสตร์
ซึ่งออกเดินทางประมาณ 6.40 น. ก็ได้รับบริการนม 1 กล่อง น้ำ 1 ขวด
จากผู้ประสานงาน (คุณวิภา เพิ่มผลนิรันดร์ = แอ๊ว)
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ถึงสถานที่ให้บริการ
ลงจากรถ สังเกตดูสถานที่ซึ่งเจ้าหน้าที่อาสาสมัครประจำหมู่บ้านหรือ
อสม เขาจัดไว้ให้ รู้สึกว่าได้รับความสะดวกสบายพอสมควร
บุคลากรที่เคยออกหน่วย ต่างรู้หน้าที่กันดี
ได้จัดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์ พอประมาณ 8.00 น. เศษ รับประทานข้าวต้ม
ผมได้รับประทานอาหารมังสะวิรัต ซึ่งทางผู้ประสานงานได้จัดเตรียมไว้ให้
(ผู้ประสานงานก็ทานอาหารมังสะวิรัตด้วย)
พอถึงเวลาให้บริการ
ซึ่งจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน
และกลุ่มวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
ให้บริการด้านอาชีพแก่ประชาชน
ผมสังเกตว่ามีชาวบ้านมาใช้บริการน้อย (ภายหลัง ดร.วิบูลย์ วัฒนาธร
ได้ปรารภว่า ชาวบ้านมาน้อยที่สุดตั้งแต่ให้บริการมา)
แสดงว่าจะต้องมีข้อผิดพลาดบางประการในการจัดครั้งนี้
ผมสังเกตว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในการประสานงานออกให้บริการครั้งนี้
หน้าตาไม่ค่อยสบาย ผมจึงพยายามให้กำลังใจ (ในใจ
แต่ไม่ทราบว่าผู้ประสานงานจะทราบหรือไม่) ผมชอบคิดด้านบวก
ได้คุยกับผู้ประสานงานและบุคลากรที่เกี่ยวข้องว่า
ถ้าการออกให้บริการนี้มีวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย
ถือว่าคุ้มแล้วกับงบประมาณที่ลงทุน (คุ้มในความรู้สึกของผม
เพราะความคุ้มหรือไม่คุ้ม มันขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน)
ได้ทราบภายหลังว่า การออกให้บริการแต่ละครั้ง 2 วัน
ถ้าไปเช้า-เย็นกลับ ใช้งบประมาณ 6 หมื่นบาท
แต่ถ้าต้องจัดที่พักค้างคืนใช้งบประมาณครั้งละ 1
แสนบาท
ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมแล้ว
การออกให้บริการประชาชนในครั้งนี้
ผมได้แง่คิดมุมมองและประสบการณ์ตรงอย่างมาก
(ถึงสามารถนำมาถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์ดังที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี่ไง)
ในสถานการณ์ที่บางคนอาจคิดว่าเป็นวิกฤต แต่ผมกลับเห็นเป็นโอกาส
ถ้าตีค่าประสบการณ์ครั้งนี้เป็นเงิน ผมว่าเงิน 1 แสน หาซื้อไม่ได้
ซึ่งผมจะสรุปให้ฟังในตอนท้ายว่าผมได้อะไรจากการออกไปให้บริการในครั้งนี้
วันที่สองของการออกหน่วย ผมคิดว่า
ควรจะต้องทำอะไรมากกว่าการมาสังเกตการณ์
ผมจึงจัดให้ความรู้ในหัวข้อ “น้ำผึ้งแท้-น้ำผึ้งปลอม”
โดยผมนำน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมอย่างละ 1
ขวดไปให้ความรู้กับประชาชนถึงวิธีทดสอบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นน้ำผึ้งแท้โดยวิธีทางกายภาพ อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบด้วย
ไม้ขีดไฟ กระดาษชำระ แก้วน้ำดื่มพร้อมน้ำสะอาด
ผู้ที่มารับบริการ (6 ท่าน) และที่ขาดไม่ได้คือน้ำผึ้งแท้และปลอม
(ซึ่งผมจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีพิสูจน์ในที่นี้)
แม้ว่าผมจะสถาปนาตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผึ้งและน้ำผึ้ง
แต่ผมขอสารภาพว่าผมพึ่งมาถึงบางอ้อในวันนี้เองว่า
น้ำผึ้งที่ผมรู้ว่าปลอมแต่ยังไม่สามารถจับให้มั่นคั้นให้ตายว่าปลอม
(เพราะเขามี Brand name)
ผมสามารถค้นพบวิธีการพิสูจน์ในวันนี้เองครับ
ซึ่งผมจะเขียนเป็นเอกสารเผยแพร่ต่อไป
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาในการอ่านจนเกินไป
ผมขอสรุปสิ่งที่ผมได้ในวันนี้
จากการสังเกตพบปะพูดคุยผนวกกับประสบการณ์ของผมดังนี้
-
ได้เห็นภาพการทำงานของผู้ที่สละความสุขส่วนตัว แทนที่จะได้พักผ่อนอยู่กับบ้านในวันหยุด และมีบุคลากรบางท่านต้องอดข้าวเพราะทำงานเพลิน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใครบ่นสักคำ
-
ได้เห็นความมีน้ำใจของผู้ที่ร่วมออกให้บริการ เช่น การช่วยยกของ หรือช่วยทำความสะอาด
-
ได้เห็นและให้กำลังใจกับผู้ที่ทำงานปิดทองหลังพระ
-
ได้รับความสุขจากการทำงาน และได้ลดกิเลสจากการให้วิทยาทาน
-
ได้ทราบข้อมูลความคิดของผู้บริหารมหาวิทยาลัย ถึงเหตุที่ต้องตัดสินใจเลือกทิศทางของมหาวิทยาลัย เป็น “มหาวิทยาลัยแห่งการวิจัย” และต้องได้อันดับ 1 ใน 10 ของการประเมินภายในระยะเวลา 5 ปี ต่อไปนี้ และคาดการณ์เอาเองว่าหากบุคลากรของ มหาวิทยาลัย ไม่ปรับแนวคิดหรือเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน อาจจะต้องลำบากในอนาคต เพราะรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้ตามผลของงาน จากการประเมินของหน่วยงานที่เป็นกลาง
-
ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของการให้บริการเคลื่อนที่แก่ประชาชนในปี 2549 ซึ่งขอโอกาสขยายความดังนี้
ดร.วิบูลย์ วัฒนาธร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและประกันคุณภาพ ซึ่งดูแลงานวิจัย งานประกันคุณภาพฯ และ คลินิกเทคโนโลยี ของมหาวิทยาลัย มีแนวคิด (ซึ่งใช้คำว่ายุทธศาสตร์ แต่ผมขอเรียกว่า “กุศโลบาย”) ที่จะปรับเปลี่ยนการดำเนินงานการให้บริการเคลื่อนที่ โดยใช้หลักการบูรณาการความรู้หน่วยงานที่กำกับดูแล ผนวกกับการทำงานเป็นทีมเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายองค์ความรู้ของหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยและ/หรือหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้อง โดยใช้หลักการ KM หรือ การจัดการความรู้ เป็นตัวนำ กล่าวโดยสรุปว่า ในปี 2549 และปีต่อไป การให้บริการเคลื่อนที่ฯ จะเลือกพื้นที่ออกให้บริการเพียง 12 แห่ง (ตำบล) ใน 9 จังหวัดพื้นที่บริการของมหาวิทยาลัย (ซึ่งจะเวียนซ้ำออกให้บริการในพื้นที่เดิม 12 แห่งในปีถัดไป วนเวียนกันเช่นนี้) โดยเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพในการจัดการความรู้อันดับต้น ๆ ที่จะประสบความสำเร็จ เพื่อร่นระยะเวลาการประสบความสำเร็จให้เร็วขึ้น ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังให้กับทีมงานผู้ให้บริการ (ซึ่งเป็นวิธีการที่หลายหน่วยงานกำลังใช้ในปัจจุบัน) โดยจะระดมทรัพยากรบุคคลและงบประมาณ รวมทั้งเครือข่ายการวิจัย ร่วมทำงานในพื้นที่อย่างมีระบบและสามารถพัฒนาเป็นโมเดล เพื่อนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
หมายเหตุ แนวนโยบายนี้อาจไม่ทันใช้ในปี 2549