ตั้งแต่เด็กจนโตผมจะมีคนต้นแบบ (role model) ที่ผมยึดท่านเหล่านั้นเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
ยกตัวอย่าง เช่น สมัยเรียนปริญญาตรี ก็มีท่าน Bill Gate เป็นแบบอย่าง
ยึดท่านอาจารย์สหัส หาญสินธุ์ เป็นแบบอย่าง
ตอนทำงาน ก็ยึดเฮียเบิ้ม เป็นแบบอย่างในการบริหารงาน
ตอนเข้ามารับราชการใหม่ ๆ ก็ยึดท่าน ศาสตราจารย์ ดร.ฉวีลักษณ์ เป็นแบบอย่างในการบริหารงาน
ทำงานมากขึ้น ก็ยึดท่าน ศาสตราจารย์ประเวศ วะสี เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
พอเริ่มปฏิบัติธรรม ก็พยายามเดินตามศึกษาพระธรรมคำสอน
ของพ่อแม่ครูอาจารย์พระสายป่าทีละองค์ ๆ ๆ หนอ
จนปีที่ผ่านมาคนต้นแบบที่ผมประทับใจที่สุด คือ ท่านอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ หนอ
และถ้าถามว่า ณ ตอนนี้ ใครคือคนต้นแบบในชีวิตอันดับ 1 นั้น
ขอตอบว่า .. คือ พ่อตาผมเอง หนอ
ขอย้อนกลับไปสมัยที่ผมได้ร่วมทีมวิจัยโครงการทำแผนพัฒนาจังหวัด
ในช่วงปี พ.ศ. 2553-2554 นั้น
ในตอนนั้น ผมพึ่งเริ่มปริยัติธรรมใหม่ ๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงธรรมแท้
โมเดลการพัฒนาจึงเน้นไปที่เศรษฐกิจเป็นหลัก
ส่วนตัว ผมรู้สึกว่า มันยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
และผมเองได้เริ่มสัมผัสบางสิ่งบางอย่าง จากชุมชน จากปราชญ์ชาวบ้าน หลายท่าน หลายระดับ
แต่ด้วยภูมิธรรมยังไม่พอ จึงทำให้ผมไม่สามารถเข้าถึงคำตอบสำคัญนั้นได้
อย่างน้อยโครงการนั้น ก็ได้เปลี่ยนแปลงผมไปโดยสิ้นเชิง
และแม้จะสิ้นสุดโครงการแล้ว ผมก็ยังดำเนินการต่อยอดโครงการเพื่อหาคำตอบด้วยตนเองตลอดมา
.
.
ผมได้พยายามออกแบบโครงการพัฒนาชุมชนหลากหลายรูปแบบ
โดยคำตอบค่อย ๆ เผยตัวออกมาชัดขึ้นเรื่อย ๆ
จน ณ วันนี้ผมมั่นใจแล้วว่า ผมเห็นทางออกแล้ว ผมพบต้นแบบแล้ว
เหลือแต่ .. การขยายผลไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง หนอ
ผมพบว่า เศรษฐกิจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
แต่ใจที่พอ พอที่ใจนั้น สำคัญยิ่งกว่า หนอ
สาธุเห็นการพัฒนาไปมากเลยครับ
ขอชื่นชมการทำงา