678. เรียนรู้ศาสตร์ OD จาก "สามก๊ก" (ตอนที่ 8)


วันนี้ผมเขียนเรื่องสามก๊กมาเป็นตอนที่ 8 ...ผมยังเกาะติดสามก๊กในช่วงต้นๆ เพราะผมเห็นอะไรหลายเรื่อง ...เรื่องที่เห็นเรื่องหนึ่ง คือคุณจะเห็นเหตุการณ์หลายเหตุการณ์พลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นมีครั้งหนึ่งตอนเล่าปี่แพ้โจโฉ ทำให้ต้องไปอาศัยอสู่กับอ้วนเสี้ยว แถมไม่รู้ชะตากรรมของกวนอู และเตียวหุยอีก ทั้งสามพี่น้องต่างไม่รู้ข่าวกัน กวนอูไปอยู่กับโจโฉ ด้วยที่โจโฉดูแลกวนอูอย่างดี กวนอูเลยตอบแทบโจโฉด้วยการไปช่วยรบ โดยโจโฉจงใจไปรบกับอ้วนเสี้ยว ซึ่งตอนนั้นเล่าปีพึ่งบุญอยู่ด้วย โจโฉและทีมกุนซือก็งว่า ถ้ากวนอูไปช่วยรบ ความเก่งของกวนอู จะช่วยให้โจโฉได้เปรียบ และอาจทำให้อ้วนเสี้ยวแพ้ เมื่ออ้วนเสี้ยวรู้ว่าแพ้เพราะใคร ก็อาจหันมาสังหารเล่าปี่ได้


หลังไปรบปรากฏว่า กวนอูสามารถสังหารทหารเอกของอ้วนเสี้ยวคืองันเหลียงกับบุนทิวได้ ตอนแรกไม่รู้ว่าใครเก่งกล้าขนาดนั้น แต่ถามไปถามมาต่างลงความเห็นว่าคนที่ฆ่านายพลสองคนนั้นได้ก็คือก็คือกวนอู น้องร่วมสาบานของเล่าปี่นั่นเอง ทำให้อ้วนเสี้ยวโกรธมาก ถึงขั้นเรียกเล่าปี่มากล่าวโทษ แถมสั่งทหารให้นำไปประหารเสีย ...เล่าปี่ถึงกับหน้าถอดสี และได้พยายามชี้แจงว่า เรื่องนี้กวนอูไม่น่าจะรู้เห็น และเรื่องนี้น่าจะเกิดจากโจโฉวางแผนมา เชื่อว่าถ้ากวนอูรู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่นี่ก็จะกลับมาแน่นอน เล่าปี่เลยขอให้อ้วนเสี้ยวส่งคนไปบอกโจโฉ เพื่อพิสูจน์ความจริง

ที่สุดเล่าปี่ก็เริ่มสบายใจ เพราะที่สุดกวนอูก็กำลังกลับมา เล่าปี่รู้ว่ารอดตัวแน่ แต่ขณะที่ได้ยินกันว่ากวนอูกำลังไลก้เข้ามา อ้วนเสี้ยวอยู่ดีๆ ก็สั่งทหารว่าไปตามจับกวนอูมาฆ่าเสีย เพราะว่า “บังอาจฆ่าทหารเอกงันเหลียง บุนทิว คนที่เก่งที่สุดของข้าไป” เล่าปี่หน้าถอดสี หลังจากสงบใจลง ตั้งสติได้แล้วก็เลยพูดว่า “งันเหลียง บุนทิว เปรียบเหมือนกวาง กวนอูเปรียบเหมือนเสือโคร่ง ท่านเสียกวางสองตัวไป แต่ได้เสือโคร่งมาแทน ท่านจะกังวลไปใย”

อ้วนเสี้ยวสงบใจลง และเล่าปี่กับอกวนอู และเตียวหุยก็กลับมารวมตัวกันได้ ในเวลาไกล้กันก็ไปเจอจูล่ง ต่อมาไปเจอขงเบ้ง ที่สุดจากก้นเหวก็พากันผงาดขึ้นฟ้า สร้างอาณาจักรในฝันสำเร็จในกาลต่อมา

ผมชอบตอนนี้มากๆครับ แม้จะเป็นตอนเล็กๆ แต่เห็นเลยว่าทุกอย่างพลิกผันมาจากประโยคเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยเรื่องกวางและเสือโคร่ง ที่พลิกการตัดสินใจของอ้วนเสี้ยวในชั่วพลิกตา ประโยคนี้เองที่พลิกประวัติศาสตร์สามก๊ก ไม่มีประโยคนี้ ประวัติศาสตร์ จะเปลี่ยนแน่นอน

ในทาง Organisation Development (OD) หรือการพัฒนาองค์กร ผมนึกถึงเรื่องคนพิเศษสามคนจากหนังสือเรื่อง Tipping Point ของมัลคอห์ม แกลดเวลล์ ที่กล่าวถึงบุคลลพิเศษได้แต่ผู้เชื่อมต่อ (Connector) ผู้สั่งสมความรู้ (Maven) และนักขายหรือ นักสื่อสาร (Salesman)

ผู้เชื่อมต่อ รู้จักคนมาก ทุกวงการ ถ้าคุณรู้จักคนแบบนี้ ปัญหาใดๆ ก็ตามถ้าถามเขา ผู้เชื่อมต่อจะรู้จัก และเชื่อมคุณไปหาคนที่สามารถช่วยคุณได้เสมอ

ผู้สั่งสมความรู้ เป็นคนที่มีความรู้เฉพาะทาง ชนิดแฟนพันธ์แท้ รู้เชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องเทคนิก เจอคนๆนี้คนเดียว ถ้าถูกตัวนะ ปัญหาทางเทคนิกคุณจะหมดไป แถมอาจได้เทคนิกใหม่ไปไกลกว่าเดิม

คนสุดท้ายคือนักขาย หรือนักสื่อสาร คนๆ นี้เก่งเรื่องการจัดระบบคำพูด มีความเข้าใจคนอย่างลึกซึ่ง สามารถเลือกใช้คำพูดและวิธีการสื่อสาร ที่สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้

ผมมองว่าเล่าปี่เป็น Salesman ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ คุณจะเห็นเล่าปี่ใช้ศิลปะการสื่อสารแบบ Salesman นี้ก่อร่างสร้างตัวอาณาจักรจ๊กก๊ก เริ่มจากคนเพียงสามคนรวมเล่าปี่เอง ก็ด้วยความสามารถในการโน้มน้าวคน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เรื่องเล่า หรือการใช้อุปมาอุปไมย ขายไอเดียเพื่อได้มาซึ่งการสนับสนุน กำลังคน รวมทั้งเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน ซึ่งเด่นมากๆ...

Salemans อย่างเล่าปี่จึงไปได้ไกล

ผมเองเวลาดูสามก๊ก ผมจะเห็นว่ามันคือการชิงไหวชิงพริบระหว่างสามคนไม่ธรรมดานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ และกุนซือ คุณจะเห็นว่าพวกเก่งๆ สามารถจัดเป็นหนึ่งในสามประเภทนี้ได้เสมอ ผมมองว่าโจโฉ และซุนกวนเป็น Connector เล่าปี่เป็น Salesman ส่วนขงเบ้งนี่เทพสุด เป็นทั้ง Connector Maven Salesman ในคนเดียวกัน ส่วนกวนอู เตียวหุยเป็น Maven ...

และเหมือนกับปรมาจารย์ด้าน OD คือท่าน Worley และ Cummings พูดไว้ในหนังสือ Built to Change เลยว่า..องค์กรใดๆ อยากสร้างผลงานให้ดี ได้ผลสูงและยั่งยืน ต้องดึงคนสามคนไม่ธรรมดา Connector Maven และ Salesman มาช่วย

ชัดมากเล่าปี่ Saleman ขายเสื่อเรา ...สามารถผงาดขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะได้ Maven อย่างกวนอู เตียวหุย และจูล่งมา แถมได้ขงเบ้งซึ่งเป็นคนพิเศษคือเป็นทั้งสามบุคลิกในตัวคนเดียวมาช่วย ... ทะลุฟ้าไปเลย

สำหรับเรื่องของขงเบ้ง ผมจะพูดที่หลังให้ละเอียดกว่านี้

ส่วนวันนี้ลองศึกษาวิธีการโน้มน้าวแบบ Salesman ดูนะครับ มีให้เห็นทั่วไป ... ที่ผมชอบในยุคปัจจุบันมีท่านหนึ่งคือท่านว. วชิรเมธี ผมว่าท่านน่าทึ่งครับ คือระบบคำพูดของท่านนี่น่ามหัศจรรค์จริงๆ ... ท่านสามารถใช้คำพูดดีๆ จัดโครงสร้างการคิดของคนได้ ผมเอา Clip หนึ่งมา คือปัจจุบันผมเป็นครูให้สมาคมโค้ชวิถีไทย หรือ Thai Coach ... ท่านว.เป็นที่ปรึกษาครับ .... ในระยะแรกมีครูจาก Thai Coach ถามว่าการโค้ชแบบไทยควรจะเป็นอย่างไร ด้วยคำพูดสั้นๆ ท่านจัดระบบการคิดให้คำว่าโค้ชชิ่งได้อย่างน่าสนใจครับ ...ลองดูแล้วจะเห็น . คำพูดที่ถ่ายทอดมานี่เป็นการมองการโค้ชชิ่งในอีกมุมจริงๆ ครับ ผมชอบ ที่ท่านพูดว่า “เราต้องถามว่าถ้าเราชนะ แล้ว ใครแพ้”...ประโยคนี้โดนใจผมมากๆ เพราะระบบการศึกษาการทำงานของเราทุกวันนี้ เหมือนทำเพื่อตนเองมากกว่า ที่สุดสังคม ชุมชน ไปไม่ได้ครับ ... ผมว่าท่านสุดยอดมากๆ ลองฟังดูนะครับ ผมว่าท่านเป็น Salesman ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกเลยครับ

ในทาง OD เพื่อการพัฒนาองค์นั้น ในภาคปฏิบัติ ไม่ว่าผมจะใช้เครื่องมือไหน เวลาจะทำให้โครงการเกิดจริง สิ่งที่ต้องบอกองค์กรทุกครั้ง คือทุกโครงการ ต้องดึงคนสามคนไม่ธรรมดามาช่วยงาน หรือต้องหารือกับพวกเขาก่อน จะช่วยงานได้มากครับ แต่ถ้าติดประเด็นเรื่องการสื่อสาร การโน้มน้าว คุณต้องมองหา Salesman ครับ

เหมือนกับ Thai Coach ที่มองหาท่านว. แล้วท่านก็มาช่วยให้นิยามคำว่าโค้ชวิถีไทยคืออะไร Clip สั้นๆ ต่กำหนดทิศทาง ปรัชญา ทุกอย่างที่ตามมาได้ไหมครับ น่าทึ่งมากๆ ...


วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ

บทความโดยดร.ภิญโญ รัตนาพันธุ์ www.aithailand.org

หมายเลขบันทึก: 591540เขียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2015 12:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2015 12:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท