หนึ่งปีผ่านไปกับการขัดเกลา
หากจะเลือกหนึ่งบทเรียนมีค่าที่สุดมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งนั้นคือ
'ขอคำปรึกษาอย่างไรให้เหมาะสม'
ประสบการณ์ของการป็น ทั้งผู้ขอคำปรึกษา และให้คำปรึกษา
ข้าพเจ้าเองเคยพบกับเหตุการณ์ เป็นแพทย์เจ้าของไข้ผู้ป่วยใน
มีญาติผู้ป่วยรายหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์
นำอุจจาระของผู้ปวยส่งตรวจเลือดแฝง (stool occult blood) เอง
โดยไม่ผ่าน order แพทย์เจ้าของไข้
ในขณะนั้น ข้าพเจ้าจำความรู้สึกได้ว่า 'โกรธ'
รากมาจาก ความรู้สึกกระทบอัตตา ว่าเขาไม่ให้เกียรติ ไม่ไว้วางใจ
แต่มองย้อนไป เมื่อข้าพเจ้าเป็นฝ่ายขอคำปรึกษา จากผู้อำนาจรับผิดชอบสูงกว่า
เหตุที่ไม่ได้ปรึกษาก่อน
หาได้เกิดจากความรู้สึกไม่ให้เกียรติ ไม่ไว้วางใจ
แต่เพราะความเกรงใจ 'ไม่รู้ว่าอย่างนี้ควรปรึกษาไหม'
กลัวถูกตำหนิว่า เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาถาม
จากการลองผิดลองถูก และคำแนะนำจากกัลยาณมิตรรุ่นพี่รุ่นน้อง
คือ ถ้าสงสัย ก็ต้องถาม
แต่ถามโดยรักษาสมดุลระหว่าง ความอ่อนน้อม ไปพร้อมๆ กับแสดงความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้จดจำ
ประกอบด้วยสามส่วนคือ
1. หัว : ขึ้นต้นด้วยการแจ้งประเด็น 'ขออนุญาตปรึกษาเรื่อง....'
2. ตัว : คำถามที่แสดงความ
พยายามคิดตัดสินใจเองมาส่วนหนึ่ง
เนื่องจากสถานการณ์คือ............จึงคิดว่าจะทำ/ไม่ทำ เพราะ............(ใส่เหตุผลสำคัญๆ สักสองสามข้อ)
3. หาง :
'แต่ไม่แน่ใจค่ะ จึงรบกวนขอความเห็น'
>>> บันทึกในวันที่มีความภูมิใจ พอใจ และเข้าใจในชีวิต มากขึ้นอีกหนึ่งปีค่ะ <<<
ด้วยความขอบคุณ และระลึกถึง
Very advice.
I hace read about how to criticize -- by speaking of at least 2 good things (the person can do/have done) before speaking about the critical point then capping it with another "good" (the person can do/have done) with ending "please".
Thank you for sharing this gem. How are you?
Ooops, I meant to type "Very good advice" but somehow in a rush I forgot to review what I typed. Despite telling myself time and time again to review things before dioing (or look before leave), I make yet another mistake and have to amend.