เรียนศัพท์จากราก ตอนที่ 1


คำกรีก และลาตินในภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษมีวิวัฒนาการความเป็นมาในระดับคำ อย่างที่เห็นในภาษาทุกภาษาต่างๆทั่วโลก คำที่ใช้ในชีวิตประจำวันเกิดมาจากภาษาอังกฤษยุคโบราณ หรือแองโกล-แซ็กซัน ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลภาษาเยอรมัน นอกจากนี้ยังมีคำยืมจากภาษาอิตาเลียน สเปน และภาษาฝรั่งเศส ในกลุ่มภาษาโรแมนซ์ อนึ่งยังคำที่ยืมจากภาษากรีกและลาติน นักวิชาการคาดคะเนว่า คำที่มาจากภาษาอื่น อีกทั้งประเภทที่ยืมมาโดยตรง และประเภทที่สร้างขึ้นมาใหม่ โดยใช้องค์ประกอบจากภาษาอื่น จะมีต้นกำเนิดมาจากกรีกและลาตินถึงเกือบร้อยละ 70 ทีเดียว

วิธีการสร้างคำในภาษาอังกฤษ

เนื่องจากภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องมีคำใหม่ มาใช้ จะอาศัยการสร้างศัพท์หลายวิธี แต่ที่นิยมกันใช้มีประมาณ 4 วิธี ได้แก่

1. prefixation การเติมอุปสรรค เช่น pre = ก่อน + war = สงคราม เมื่อรวมกันเป็น prewar = ก่อนสงคราม

2. suffixation การเติมปัจจัย เช่น friend = มิตร + -ship = ภาวะ เมื่อรวมกันเป็น friendship = มิตรภาพ

3. conversion การแปลงชนิดคำ โดยไม่เปลี่ยนรูปคำ เช่น dream = ฝัน พอมาใช้จึงใช้รูปเดิม เป็น dream = ฝัน

4. compounding การประสมคำ เช่น book = หนังสือ + shop = ร้าน เมื่อรวมกันเป็น bookshop = ร้านหนังสือ

สองวิธีแรกอาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า affixation การเติมเหน่วยคำเดิม

โครงสร้างคำภาษาอังกฤษ

แต่ไม่ว่าจะสร้างด้วยวิธีใช้ องค์ประกอบพื้นฐานของคำ อาจจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. root = รากศัพท์ เป็นแกนหรือองค์ประกอบหลักของคำ คำทุกคำต้องมีรากศัพท์เสมอ แต่จะมีองค์ประกอบ หรือไม่มีก็ได้ เช่น fair เป็นรากศัพท์ แปลว่าเป็นธรรม unfair ไม่เป็นธรรม fairness ความเป็นธรรม และ unfairness ความเป็นธรรม

รากศัพท์ จะประกอบไปด้วย 2 ลักษณะด้วยกัน

1.1 free root หมายถึง รากศัพท์ที่ปรากฏได้ โดยอิสระ คือนำมาใช้เป็นคำได้

1.2 bound root หมายถึง รากศัพท์ที่ต้องรวมกับอุปสรรค (เติมหน้า) หรือปัจจัย (เติมหลัง) จึงจะรวมกันเป็นคำ เช่น –fer รวมกับอุปสรรค tran-กลายเป็น transfer มีความหมายว่า ย้ายไป

2. prefix (อุปสรรค) เป็นองค์ประกอบเสริมอยู่หน้าฐานศัพท์ อุปสรรคใช้ดัดแปลงความหมายของศัพท์ เช่น re-เท่ากับ กลับ + รากศัพท์ turn หัน หรือหมุน ซึ่งใช้เป็นฐานศัพท์กลายเป็น return หวนกลับมา

3. suffix (ปัจจัย) เป็นองค์ประกอบเสริม ที่ปรากฏอยู่ท้ายฐานศัพท์ และมีผลในการแปลงชนิดของคำ ปัจจัยอาจแบ่งตามหน้าที่ในระบบภาษาออกเป็น 2 ประเภท คือ

3.1 derivational suffix หมายถึง ปัจจัยที่ใช้สร้างคำใหม่ และมีผลในการแปลงชนิดของคำ หรือชนิดย่อยของคำ เช่น –ness ใน darkness ความมืด แปลงจากคำคุณศัพท์ dark มืด ให้เป็นคำนาม

3.2 inflectional suffix หมายถึง ปัจจัย ที่ใช้ผันรูปคำ เพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์ของคำ เมื่อเข้าประโยค เช่น –ing แสดงรูป present participle ของคำกริยา เช่น working ซึ่งอาจร่วมใช้กับ is เป็น is working กำลังทำงานอยู่ เป็นต้น

หนังสืออ้างอิง

สมศีล ฌานวังศะ. ภาษาน่ารู้: เรียนศัพท์จากราก ตอนที่ 1 ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ หน้า 73 ขอโทษที่มิอาจจะบอกฉบับได้ครับ

หมายเลขบันทึก: 590478เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2015 19:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2015 10:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

I think it could be easier yo learn how words (in English) are "dressed up" to express details in meaning. Learning how words change can help with analysis of their meanings in use.

For examples:

'bob' has several meanings (look it up) but 'Bob' is a male name - the difference? 'b' and 'B'.

We have learned about 'an apple' and 'apples' - the word 'apple' is dressed up with article 'an' to mean 'one apple' and suffixed with 's' to mean 'many apples'; but 'a child' means one child and 'children' means 'many children'; and so on.

Now consider 'a childrens court': children is suffixed with 's' to mean "'a children's court" that is "a court for children".

Notuncurious

The Anglo-Saxon migration

Here's how the English language got started: After Roman troops withdrew from Britain in the early 5th century, three Germanic peoples — the Angles, Saxons, and Jutes — moved in and established kingdoms. They brought with them the Anglo-Saxon language, which combined with some Celtic and Latin words to create Old English. Old English was first spoken in the 5th century, and it looks incomprehensible to today's English-speakers. To give you an idea of just how different it was, the language the Angles brought with them had three genders (masculine, feminine, and neutral). Still, though the gender of nouns has fallen away in English, 4,500 Anglo-Saxon words survive today. They make up only about 1 percent of the comprehensive Oxford English Dictionary, but nearly all of the most commonly used words that are the backbone of English. They include nouns like "day" and "year," body parts such as "chest," arm," and "heart," and some of the most basic verbs: "eat," "kiss," "love," "think," "become." FDR's sentence "The only thing we have to fear is fear itself" uses only words of Anglo-Saxon origin.

ผมได้เคยใช้ภาพข้างบนนี้ คุยกันกับชาวยุโรป และ รัสเซีย (ต่างกรรมต่างวาระ )ในโอกาสเขาเดินทางมาพักที่ Center ของ ฺBESC (Betong English Speaking Club )เขาสนใจมากและ ตั้งใจศึกษาอ่านต่อ และ บอกว่าดีใจที่ผมแนะนนำบทความนี้ ให้ ท้นทีที่ได้อ่านเรื่องของอาจารย์ต้นข้างต้น ทำให้เห็นประโยชน์ ทันทีวันนี้ จึงได้นำมาให้ นร.ม 6 คนหนึ่งเรียน (One on One learning ) ได้ผลน่าพอใจ ครับ


ขอบคุณมากครับสำหรับคุณพูลไท และคุณ sr

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท