หากจะถามท่านผู้นำโรงเรียนว่า " งานใดสำคัญย่ิง และเป็นหัวใจของโรงเรียน"
ก็คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า....งานวิชาการ.... ใช่แล้ว ถูกต้องตรงเผงเลย
งานวิชาการคืองานหลัก และหัวใจของโรงเรียน ส่วนงานอื่น ๆ เป็นงานสนับสนุน
ทั้งสิ้น
หากย้อนไปในอดีตกาลนานมาสมัยคุณทวด คุณปู่ คุณย่า....การจัดการเรียนการสอน
ในยุคนั้น สมัยนั้น ไม่มีอาคารสถานที่ที่เรียกว่า " อาคารเรียน" ไม่มีงบประมาณที่จะ
นำมาใช้จ่ายในกิจกรรมการเรียนต่าง ๆ ไม่มีครู....ที่ต้องตะเกียกตะกายเพื่อความก้าวหน้า
และความอยู่รอด ไม่มี......ฯลฯ สิ่งที่เรียกว่าการเรียน ก็คือ มี " ครู "...ที่อาจจะเป็น
หลวงตา หลวงปู่ หรือ ปู่ ย่า ตา ทวดที่เป็นที่เคารพนับถือ ในวิชาชีพเ่ฉพาะด้าน
เช่น งานศิลปะ งานแพทย์แผนไทย งานหัตถกรรม ตลอดจนเรื่องของศิลธรรม
เรื่องของศาสนา ฯลฯ กับ "นักเรียน" ที่อาจจะเป็น เด็กวัด หรือลูก ๆ หลาน ๆ
หรือใครก็ตามที่สนใจในเรื่องนั้น ๆ
ส่วนห้องเรียน หรือ อาคารเรียน ก็ไม่ต้องจำเพาะเจาะจงว่าจะต้องมีห้อง มีอาคารเฉพาะ
อาจเป็น ศาลาวัด ใต้ถุนกุฏิ หรือแม้แต่ใต้ถุนบ้าน ใต้ร่มไม้บนคันนา ฯลฯ ก็สามารถ
เป็นห้องเรียนได้ ซึี่งเราอาจจะได้ยินคำว่า " ศิษย์ก้นกุฏิ" ก็คงมีที่มาจากเรื่องนี้
การจัดการศึกษายุคสมัยนั้น อยู่ที่ความพอใจของครู กับศิษย์ ไม่จำกัดขอบเขตของ
ความรู้ ไม่ยุ่งยาก สิ่งสำคัญ...ทั้งครูและศิษย์มีความผูกพันกัน ศิษย์ให้ความเคารพ
นับถือ กตัญญูต่อครูอย่างแท้จริง ครูก็ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ศิษย์อย่างชนิดที่เรียกว่า
"หมดไส้หมดพุง" กันเลยทีเดียว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ครูและศิษย์ยุคนั้นจะต้อง
เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมมากเพียงใด ทั้งครูและศิษย์จึงเป็น " คนดีของสังคม"
เป็นบรรพบุรุษ ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงมาจนทุกวันนี้
อยากจะเรียกการศึกษายุคสมัยนั้นว่า " การศึกษาแบบบริสุทธิ์" ไร้สิ่งเจือปน คือ
ไม่มีคำว่า " ผลประโยชน์" หรือระบบ ระเบียบปฏิบัติ และการแข่งขัน
เข้ามาเป็นตัวกำหนด ให้เป็นทางที่ครูจะต้องพาศิษย์
เดินไป อย่างไม่รู้ทิศไม่รู้ทาง เหมือนทุกวันนี้
กลับมาสู่ยุคปัจจุบัน.....งานวิชาการยังคงเป็นงานหลักของสถานศึกษา ไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารและบุคลากรทุกคนในโรงเรียน ที่จะต้องสร้างงานวิชาการ
ให้โดดเด่น ครูทุกคนเปรียบเสมือนเป็น " หัวหอก" ที่จะต้องจัดการเรียนการสอน
ให้ไปสู่่เป้าหมาย ผู้ับริหารเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุน และสร้างขวัญ
สร้างกำลังใจให้กับครู
ผู้บริหารเพียงคนเดียว ไม่มีวันที่จะจัดการศึกษา โดยเฉพาะงานวิชาการได้สำเร็จ
ลุล่วงตามเป็าหมาย ต้องพึ่งพาอาศัยครูและบุคลากรทุกคนในโรงเรียน
ตลอดจนพ่อ แม่ ผู้ปกครอง และชุมชน เป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้
งานวิชาการของโรงเรียนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ผู้บริหารที่ฉลาด จะต้องรู้จุดเด่น จุดด้อยของงานวิชาการของโรงเรียน
ต้องรู้จริงว่า ปัจจัยใดที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ในโรงเรียนของตน สูง หรือ ต่่ำ การจะรู้จริง มิใช่มอง ๆ แล้วสรุปผล
เอาตามอำเภอใจ แต่การ " รู้จริง " จะต้องเกิดจากการ " วิเคราะห์"
แบบ " ร่วมกันวิเคราะห์" ทุกฝ่าย ทั้ง ผู้บริหาร ครู และผู้ปกครอง
อาจจะรวมไปถึงชุมชน จึงจะได้ผลการวิเคราะห์ที่ค่อนข้างชัดเจน
และแน่นอน
โรงเรียนขนาดเล็กมากมายหลายโรง ที่มีเด็กไม่กี่สิบคน แต่ผลการเรียนของเด็ก
กลับลดต่ำลง มิหนำซ้ำยังมีจำนวนเด็กที่อ่าน " ชัด " เขียน " ข้อง" ในแต่ละชั้น
อีกด้วย........เป็นผลให้ ผูั้บริหารก็หันไปโทษครู ส่วนครูก็หันไปโทษครูที่
ส่งเด็กกันขั้นมาในแต่ละชั้น....แล้ว...เด็กจะโทษใครล่ะ...??
ยังคงต้องเล่า ( เรื่องจริง) ของงานวิชาการ เป็นซีรี่ส์ (อย่างที่ท่าน ผอ.คนเก่งว่า)
กันอีกหลายตอนทีเดียว บันทึกนี้ขอเพียงเกริ่นนำไว้ก่อนนะจ๊ะ สำหรับคืนนี้
ห้าทุ่มพอดี.....ต้องขอขยักเวลาไว้ทำงานอื่นก่อนนะจ๊ะ
วิชาการ งานหลัก จักต้องรู้
ทั้งผู้นำ และครู ต้องตระหนัก
งานอื่น เป็นงานเสริม เพิ่มพร้อมพรัก
" เชิงประจักษ์" ต้องรู้ทัน งานที่ทำ
โปรดติดตาม....ตอนต่อไปจ้าา
ชอบมาก รูปประกอบน่ารักมากค่ะอาจารย์มะเดื่อ
Yes! We have progressed from 'education for "our" children to money to be made here'. Sad and sigh!
ใช่ค่ะ งานวิชาการเป็นงานหลัก