บ่ายวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๘ ผมไปฟังปาฐกถาศรชัย หลูอารีย์สุวรรณ ครั้งที่ ๘ ที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน เรื่อง Malaria versus Antimalarials : Who will win? โดยศาสตราจารย์ Nicholas J. White ประเทืองปัญญายิ่งนัก
ที่น่าสนใจคือ ท่านมีอายุ ๖๔ ปี เกิดปีเดียวกันกับ ศ. นพ. ศรชัย และเคยทำงานเริ่มต้นชีวิตนักวิจัยด้านเวชศาสตร์เขตร้อน ด้วยกัน ที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อนนี่แหละ โดยเริ่มทำเรื่องพิษงู
ผมได้เรียนรู้ว่า มาลาเรียเป็นโรคติดเชื้อที่ในสมัยโบราณระบาดกว้างขวางมาก แม้ในเขตหนาว แต่เมื่อความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น โรคก็ค่อยๆ หายไปจากเขตหนาว ช่วยโดยการค้นพบยาควินีน ที่สะกัดจากเปลือกของต้นซิงโคนา ที่ได้จากเกาะชะวา โรคก็ลดลงอย่างรวดเร็ว จนในปี ค.ศ. 1955 – 1969 องค์การอนามัยโลกดำเนินการเพื่อกวาดล้างโรคมาลาเรีย ให้หมดไปจากโลก เน้นที่การฉีดยาฆ่ายุง ซึ่งล้มเหลว และยกเลิกไป แต่ถึงแม้จะกวาดล้างมาลาเรียให้หมดไปจากโลกไม่ได้ แต่ก็ได้ทำให้พื้นที่หลายส่วนในโลกปลอดจากมาลาเรีย (รวมทั้งในเขตเมืองของประเทศไทย)
ที่น่าสนใจมากคือ ในปี ค.ศ. 1966 มีผู้เป็นมาลาเรียในศรีลังกาเพียง ๑๘ คนเท่านั้น แต่หลังลิกฉีดดีดีที โรคก็กลับมาใหม่ มีผู้เป็นโรคถึงปีละ ๒ - ๓ ล้านคน
หลังจากปี 1969 เป็นช่วงเวลา ๓๐ ปีที่องค์การอนามัยโลกเน้นสู้โรคมาลาเรียด้วยยา โดยที่หลักฐานเชื้อมาลาเรียดื้อยา เริ่มปรากฎตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 และต่อมาก็พบการดื้อยาทุกชนิด ส่วนใหญ่ศึกษาโดยทีมนักวิจัยที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อนนี่แหละ และมีหลักฐานมากขึ้นเรื่อยๆว่าแหล่งเกิดและแพร่เชื้อมาลาเรียดื้อยาอยู่แถวๆ อินโดจีนนี่เอง และต่อมาจึงค้นพบว่าทำไม คือมีการเอายามาลาเรียไปเคลือบเกลือให้คนกินเพื่อป้องกันมาลาเรีย ซึ่งเป็นการใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ
ต่อมาการศึกษาเชื้อดื้อยาลงลึกระดับโมเลกุล สามารถศึกษาในระดับยีนหรือดีเอ็นเอได้ และยิ่งยืนยันว่า การเกิดและแพร่เชื้อดื้อยาไปจากอินโดจีนนี่เอง และมีการทำนายว่า หากเชื้อดื้อยาข้ามเส้นแบ่งกลางประเทศพม่าไปทางตะวันตกได้ เชื้อดื้อยาก็จะระบาดใหญ่ เข้าไปในอัฟริกา
ข่าวดีคือ มีการค้นพบยารักษามาลาเรียชนิดใหม่ ที่ผลเบื้องต้นดีมาก รวม ๓ ชนิด สองชนิดศึกษาที่คณะเวชศาสตร์ เขตร้อนนี่เอง แต่กว่าจะออกสู่ตลาดหรือคนไข้ทั่วไปได้อย่างเร็วก็อีก ๓ ปี
วิจารณ์ พานิช
๒๖ มี.ค. ๕๘
ไม่มีความเห็น