วันที่เกิดเรื่องนั้นเป็นช่วงวันก่อนสงกรานต์ ของปี 2558 ที่มีนางสงกรานต์เสวยโลหิตเป็นอาหาร ประมาณบ่ายโมง ของวันที่ 12 เมษายน 2558 ผมอยู่ที่บ้านพัก เล่นกับลูก สองคน โดยพอเลยเที่ยงไปแล้วชักรู้สึกหิว จึงคว้ารถมอเตอร์ไซด์คันเก่า ควบพาลูกสาวคนเล็กออกไปที่ถนนสนามบินใกล้ๆบ้าน เพื่อดูว่าร้านประจำวันนี้เปิดบริการหรือไม่ โดยมีลูกสาวคนโต โบกไม้โบกมือ อยากมาด้วย แต่ผมก็บอกให้รอก่อน เพราะส่วนใหญ่ร้านนี้มักจะปิดวันอาทิตย์ ปรากฏว่าร้านปิ เราก็เลยชวนกันเลยไปดูร้านถัดไป ก๋วยเตี๋ยวก็ปิดผมก็ว่าจะวนไปเลย แต่ก็เปลี่ยนใจ เลี้ยวกลับบ้านไปรับลูกสาวคนโตเพื่อที่ไปร้านอื่นกันดีกว่า รถว่างก็เลี้ยว ฝั่งตรงข้ามมา ก็ชลอ หลบ พอพ้นแล้วก็ชิดข้างทางเพื่อจะกลับบ้าน......... โครม...ครืดๆๆๆ มืด ไปหมด... ลืมตามา ภาพ ตรงหน้าหมุนไปเป็นวงอยู่สามรอบ ..แล้วมีเสียงคนถามอื้ออึงเป็นงัยบ้างๆๆๆ... เราเกิดอุบัตืเหตุหรือ นี่... ง่ายจังเลย ... ลูกสาวผมล่ะ .... อยู่โน่น ..คนช่วยกันมาจับอุ้มไปนอนข้างทาง เธอนอนนิ่ง เหงื่อแตก ... หน้าซีด ...ผมรีบตรวจ เช็คให้ยกมือ กระดิกนิ้ว แขนขา ซ้ายและขวา..ทำได้หมด เธอถามว่าพ่อ...เราอยู่ใหนเนี่ย.หน้าสาธิตงัยลูก ,.... ถึงว่า .คุ้นๆๆ . เราถูกส่งไปโรงพยาบาลด้วยรถ กู้ภัย มีทางเลือก สองแห่ง โรงพยาบาลเอกชนทั้งคู่ ....กระบวนการ รักษา จบตอนสี่โมงเย็น ผมเข้าเฝือกที่มือซ้าย กระดูกแตก สองนิ้ว ลูกไม่เป็นอะไรเลย ..
บทเรียน 1. อุบัตืเหตุมาแบบไม่ตั้งตัวจริงๆ
2.การใส่หมวกกันน็อคดีมากๆ
3.กู้ภัยมีผลประโยชน์แน่ๆกับโรงพยาบาลเอกชน
4.การทำประกันมีประโยชน์
5.โรงพยาบาลเอกชนรักษาได้เร็ว แต่ไม่ประทับใจ
6.คนไข้ต้องการรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง
7.หมอต้องใส่ใจในการรักษาไม่ใช่แค่อาการที่พบ
8.ภูมิใจตัวเองที่เวลาดูแลคนที่ด้อยโอกาส เราทำได้มากกว่า ทีมงานของโรงพยาบาลเอกชน ที่มีแต่ เงินๆๆๆๆๆๆแต่ไม่มีข้อมูลและความรู้ที่ผู้ป่วยพึงจะได้รับ
9.สงสารคนทั่วไปที่ประสบเหตุ ขาดคนช่วยที่แท้จริง มีแต่ทำเพื่อ ......เงิน
ไม่มีความเห็น