ทุกครั้งที่ผมกลับบ้านและมีโอกาสได้ "เข้าวัด" จะโดยไปทำบุญตักบาตร หรือกระทั่งไปด้วยภารกิจอื่นใดก็ตาม ผมมักไม่ลืมที่จะแวะไปกราบสักการะ "พระใหญ่" เสมอ
พระใหญ่ – เป็นคำที่พ่อใช้เรียกพระพุทธรูปที่พ่อและแม่เป็นเจ้าภาพหล่อขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙
นับรวมๆ ถึงปีนี้ (๒๕๕๘) ก็ครบ ๒๙ ปี
สมัยนั้นที่วัดบ้านเกิดไม่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ สักเท่าไหร่
บนศาลาวัดมีบ้าง แต่ไม่มากมายใหญ่โต
ส่วนใหญ่ที่จำได้จะเป็นองค์เล็กๆ ไปจนถึงขนาดกลาง และที่มากมายหน่อยก็จะเป็นพระพุทธรูปไม้เสียมากกว่า
ซึ่งปัจจุบันสูญหายไปอย่างน่าใจหาย
ปี ๒๕๒๙ พ่อและแม่ (พ่อนาค-แม่มา ปรีวาสนา) ขันอาสาเป็นเจ้าภาพเรื่องงบประมาณในการ "ปั้นพระ" ประดิษฐานไว้ใต้ต้นโพธิ์เพื่อให้คนได้กราบสักการะ เสมือนการย้ำเน้นถึงพื้นที่ทางธรรม และประวัติศาสตร์ของการก่อเกิดพระพุทธศาสนาไปในตัว ซึ่งปีนั้นผมก็เพิ่งอายุ ๑๓ ปี
สมัยนั้นในวัดไม่มีพระพุทธรูปที่ประดิษฐานกลางแจ้ง หรือตั้งตระหง่านใต้ต้นโพธิ์เหมือนที่ผมว่า ... ทั้งหลายทั้งปวงล้วนประดิษฐานอยู่บนศาลาวัด –
การปั้นพระพุทธรูปดังกล่าว หลักๆ พระและสามเณรในวัดเป็นคงลงแรงปั้นแต่งกันแทบทั้งสิ้น มีญาติโยมเข้ามาร่วมประปรายตามโอกาสที่อำนวยของแต่ละคน
ต่อเมื่อปั้นเสร็จแล้ว ก็มีพิธีสวดอย่างจริงๆ จังๆ ตามครรลองความเชื่อและศรัทธาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ผมยังคงจำภาพเก่าๆ ได้เป็นอย่างดี ในเทศกาลสำคัญๆ ชาวบ้านจะมาจุดธูปเทียนบูชาสักการะ"พระใหญ่" อย่างถ้วนทั่ว
วันนี้ วิถีบางอย่างเลือนหายไปตามกาลเวลา ภายในวัดหลากล้นไปด้วยพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นมาอย่างสวยสดงดงาม อลังการใหญ่โตอย่างน่าทึ่ง มีทั้งขนาดเล็ก กลาง-ใหญ่ประดิษฐานในศาลาวัด หรือกระทั่งใต้ต้นโพธิ์ที่ว่าก็มีพระพุทธรูปจำนวนมากประดิษฐานอยู่อย่างหลากล้น
อะไรๆ เปลี่ยนไปตามยุคสมัย... แต่สำหรับผมแล้ว ความทรงจำในหลายเรื่องแจ่มชัดและเป็นปัจจุบัน ไม่เว้นกระทั่ง "พระใหญ่" องค์นี้...
และคำว่า "ใหญ่" ในมุมของผม คงไม่ใช่ "ขนาด" ที่ต้องวัดกันด้วย "ไม้เมตรไม้บรรทัด"
เหนือสิ่งอื่นใดอารมณ์ความรู้สึกตอนนี้คือ
อยากกลับไปกราบ "พระใหญ่" อีกรอบจริงๆ ...
ศรัทธาที่เกิดจากศรัทธา
หามาจากความใหญ่โตไม่
สวยงามอยู่ถึงภายใน
ข้างนอกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา.
ครับ ท่าน อ.พ.แจ่มจำรัส
... ขณะหนึ่ง ความเรียบง่าย สถมะ ก็งดงามและยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่เขินอาย ครับ..
ขอบพระคุณครับ