ผมอ่านเรื่องความสุขมาไม่มากนัก แต่ผมแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่า หากตัวคนให้ไม่มีความสุขแล้วคนรับก็ย่อมยากที่จะได้ความสุขไปด้วย
ผมได้คิดชัดเจนตอนที่น้องคนหนึ่งทำหน้ามุ่ย เมื่อคนไข้แนะนำให้ยิ้มให้หน่อย สภาพตอนนั้นคือ กำลังเร่งจ่ายยาคนไข้ที่เยอะและเครียดกับการเช็ค+แนะนำคนไข้อยู่แล้ว แต่ผมถูกชะตากับคนไข้ที่ตาถึงเพราะผมเห็นน้องตอนที่เขายิ้มน่ารักมากครับ เอ...ชักออกทะเล เข้าเรื่องครับ
นี่คือ ทฤษฎีที่ผมคิดไว้ยังไม่ผ่านการพิสูจน์นะครับ ดังนั้นอย่าเพิ่งเชื่อ เหอๆ
ผมเคยคิดมาหลายหนแล้วเหมือนกันว่าทำยังไงแต่ยังไม่ได้ลงมือกระทำจริงจังสักที นั่นคือ จะทำยังไงให้พี่ๆ ที่ทำงานมีความสุข
ความสุขของผม คิดว่าเริ่มจากสุขภาพก่อน ถ้าร่างกายแข็งแรงจิดใจย่อมดีตามไปด้วย และเป็นผลกระทบจากการที่ผมเล่นดัมเบลล์ในช่วงพัก ทำให้พี่ๆ (บางที) ก็หันมาสนใจสุขภาพเป็นระยะๆ ผมแอบขู่ไปหลายหนสำหรับพี่ที่ผมนับถือคนหนึ่งที่น้ำหนักเยอะ ย้ำตาลก็สูงว่าหากเป็นเบาหวานแล้วจะมีโรคแทรกซ้อนตามมาได้อีกเยอะ
ซึ่งก็ได้ผลเป็นระยะครับ ผมเองก็หยุดขู่เพราะกลัวว่าพี่ท่านจะปลงชีวิตเข้าตำราว่า ไหนๆ จะตายก็ขอให้มีฟามสุขก่อนตายหน่อยเถอะ...แล้วกินเหมือนเดิมหรือหนักกว่าเดิม...
เรื่องคราวนี้ทำให้ผมคิดหนักครับ ว่า ผมจะให้คำแนะนำคนไข้เบาหวานไหวเหรอเนี่ย ขนาดพี่ที่ผมพูดบ่อยๆ เขายังไม่เชื่อผมเลย เฮ้อ...
ปล. มองในแง่ดีพี่เขามีความสุขจากการกินแล้ว (เอนจอยส์อีทติ้งงง) เราอย่าไปขวางเขาเลย
ปล2. บันทึกนี้เขียนด้วยความงงนิดๆ (มาเรื่องซีเรียสไปจบเรื่องกิน) ด้วยเวลา 28 นาที
ปล3.ต้องขอบคุณท่าน ผอ.อัจฉรา ครับที่ท่านมอบหนังสือธรรมะให้ผม ทำให้เกิดดลบันดาลใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
สวัสดีค่ะคุณจันทร์เมามาย
สุข + สุข = สุขจริงๆ
แวะมาฟังเพลง..และอ่านเพลินๆมีความสุขกับความคิดที่รักผู้อื่นของ จมม.มาก.
.อยากลปรร.ในประเด็นของการที่ จมม.จะได้มีโอกาสฝึกกระบวนยุทธ์ในการให้ความรู้เกี่ยวกับเบาหวานว่า
หนึ่ง..อย่าเพิ่งเครียด-ยกน้ำหนักเพลินจนกล้ามเนื้ออักเสบก่อนล่ะ
สอง..คาดว่าน้องท่านอาจต้องประยุกต์ศาสตร์แห่งดูโหวเฮ้งก่อนให้ข้อมูล..เอ้ย!ไม่ใช่...ต้องใช้เรื่องวงจรการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล(Behavior Change)มาจับควบคู่ไปกับเทคนิคการเสริมแรงหรือสร้างแรงจูงใจ(Motivational Technique)สองเรื่องนี้มีหนังสือของกรมสุขภาพจิตเขียนไว้อยู่หากสนใจมายืมที่แนะแนวฯได้จ๊ะ
สาม..เราคงต้องยอมรับว่ามีบางคนเจอปัญหาแต่ไม่อยากแก้ปัญหาหรือทำการเคลื่อนไหวใดๆเพื่อให้ปัญหานั้นๆผ่านไป..อาจเป็นเพราะเรายังไม่สามารถเปิดใจหรือกระตุ้นเขาได้อย่างตรงจุด..บางทีสำหรับคนที่เสี่ยงสูงกับโรคเบาหวาน เช่น คนอ้วนนี่ไม่ใช่ไม่รู้นะว่าควรทำตัวเช่นไรแต่การฝืนรั้นต่อคำแนะนำจากคนอื่นที่เป็นข้อเท็จจริงและประโยชน์ต่อสุขภาพของตนบางอย่างนั้น..บางทีมันก็มาจากการที่เขายังมีความเครียดและกดดันเกี่ยวกับตัวเขาเองอยู่และเขาก็เลยเลือกที่จะปฏิเสธหรือรับรู้ประเด็นต่างๆที่จะทำให้ตนต้องมารู้สึกว่ามีปัญหาเพิ่มเติมขึ้นมาอีก..ดังนั้นอาจใช้วิธีการติดตามถามไถ่และคอยชื่นชมเมื่อเขาได้เริ่มทำในสิ่งที่เราอยากให้เขาทำอยู่(Discard to Negative reward,concern &provide only Positive reward)""อิอิ..เก็บกดขอแต่งภาษาอังกฤษผิดๆถูกๆกะเขาหน่อยนึงนะ
สี่..จบจ๊ะ..เดี๋ยวจะเครียดเกินไป.. m(*O*)m....
ขอขอบคุณอาจารย์จันทร์เมามาย...
ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจและลปรร.ครับ
พี่อ้อย
ผมคิดว่าทุกคนอยากให้คนอื่นมีความสุขละครับ เพียงแต่กำลังทุกข์อยู่ในเรื่องตนเอง เลยกลายเป็นมองข้ามไป ผมเองก็เห็นว่า พี่อ้อยเป็นตัวอย่างที่ทำให้คนอารมณ์ดีคนหนึ่งครับ
หมายเหตุ เมามายในพระจันทร์ ครับ ไม่ใช่แค่วันจันทร์ อิอิ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ ข้อสามตรงอังกฤษนี่ผมไม่แน่ใจเข้าใจถูกไหม
ยกเว้นการให้รางวัลเมื่อไม่ทำตัวไม่ดี แต่ให้รางวัลเมื่อทำสำเร็จใช่ไหมครับ
ขอบคุณมากครับผม
ยังดีที่เป็นสุขนะขอรับ ไม่ช่าย
สุก+สุก = เกรียม เอิ้กๆ
ขอบคุณพี่เมตตาเช่นกันครับ หวังว่าคนรอบๆ พี่จะเต็มไปด้วยความสุขครับ
ขอบคุณครับผม
"ยกเว้นการให้รางวัลเมื่อไม่ทำตัวไม่ดี แต่ให้รางวัลเมื่อทำสำเร็จใช่ไหมครับ"
ไม่คิดว่าจะใช่ทั้งหมดนะ...การให้รางวัลทางลบนี่ตัวอย่างเช่น การติ ,บ่น,ให้ความใส่ใจหรือเพ่งเล็งต่อบุคคลหรือพฤติกรรมที่บุคคลเป้าหมายกระทำอยู่เมื่อเห็นว่ายังคงมีนิสัยหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้นๆอยู่แทนที่จะหยุดหรือยับยั้งไม่ให้เกิดขึ้น..แต่กลับทำให้ยังมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์นั้นๆอยู่ซึ่งหากเจอหรือพบลักษณะเช่นนี้..เขาให้ใช้วิธีเพิกเฉยต่อพฤติกรรมลบที่เราต้องการจะลดแต่เมื่อใดที่บุคคล/เคสของเราทำพฤติกรรมเชิงบวกให้รีบเสริมแรงเพื่อกระตุ้นหรือดึงให้เกิดพฤติกรรมด้านบวกออกมาเรื่อยๆ
ตัวอย่างเช่นถ้าพี่แก(เคส)ยังอดไม่ได้ที่จะชอบกินไก่ย่างห้าดาว..ก็หยุดที่จะไปบอกเขาว่า"กินทำไมเดี๋ยวไขมันจะจุกอกตายทำให้เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานและอัมพฤกษ์อัมพาตได้นะ"ทำแค่เพียงมองๆไม่ต้องพูดบวกหรือลบใดๆทั้งนั้นแต่เมื่อใดที่พี่แก(เคส)เริ่มขยับกายสบายชีวา..ให้แสดงความชื่นชมและไถ่ถามว่า"โห!ท่าบิดขวาไปซ้ายของพี่นี่เจ๋งจริงๆพี่มาทำบ่อยๆนะครับผมจะได้ดูต้นแบบจากพี่เอาไปทดลองทำมั่ง"..ขอยกตัวอย่างแต่เพียงเท่านี้ก่อนเน้อหากยังไม่เข้าใจหรือสงสัยอะไร..มาพบตัวๆเลยดีกว่าที่แดนสนธยาของพี่(ออฟฟิศ)หรือทักถามยามเจอกันก็ได้ค่ะ