การจัดการตนเอง ต้องมีสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประวัติการณ์ของบุคลากร – ไปยังจุดที่คนงานที่มีความรู้แต่ละคน คิดและมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับซีอีโอ (thinks and behaves like a CEO)
พัฒนาตนเอง
Managing Oneself
พันเอก มารวย ส่งทานินทร์
[email protected]
12 กุมภาพันธ์ 2558
บทความเรื่อง
พัฒนาตนเอง นำมาจากหนังสือเรื่อง Managing Oneself ซึ่งเป็นหนังสือ HBR Classics ประพันธ์โดย Peter F. Drucker จัดพิมพ์โดย Harvard Business School Publishing Corporation, PUBLICATION DATE: January 01, 2005
Peter F. Drucker
-
Peter F. Drucker เป็นศาสตราจารย์ (กิตติคุณ) Marie Rankin Clarke ด้าน Social Science and Management (Emeritus) ที่ Claremont Graduate University แคลิฟอร์เนีย
- เขาเป็นชาวอเมริกันที่เป็นชาวออสเตรียโดยกำเนิด เขาเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการ การศึกษา และนักประพันธ์ เขามีส่วนร่วมในการเขียนปรัชญารากฐาน และแนวทางการปฏิบัติขององค์กรธุรกิจที่ทันสมัย
- เขายังเป็นผู้นำในการพัฒนาการศึกษาด้านการจัดการ เขาคิดค้นแนวคิดเรียกว่า การจัดการโดยวัตถุประสงค์ (management by objectives) และเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ค้นพบการบริหารจัดการยุคใหม่ (the founder of modern management)
ผู้ที่สนใจเอกสารแบบ PowerPoint (PDF file) สามารถ Download ได้ที่
http://www.slideshare.net/maruay/managing-oneself-thai
ประเด็นของเรื่องพัฒนาตนเอง (Managing Oneself) โดยย่อ
- 1. อะไรคือจุดแข็งของฉัน? (What are my strengths?)
- 2. ฉันทำได้ดีเพียงใด? (How do I perform?)
- 3. ค่านิยมของฉันคืออะไร? (What are my values?)
- 4. ฉันควรจะเป็นและอยู่ที่ไหนดี? (Where do I belong?)
- 5. สิ่งที่ฉันควรจะมีส่วนสนับสนุนคืออะไร? (What should I contribute?)
-
ความรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ (Responsibility of relationships)
-
ช่วงครึ่งหลังของชีวิต (The Second Half Of Your Life)
เกริ่นนำ
- การประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจฐานความรู้ คือผู้ที่รู้จุดแข็งของตัวเอง มีค่านิยม และมีวิธีการที่ดีที่สุดที่พวกเขาใช้ดำเนินการ (Success in the knowledge economy comes to those who know themselves-their strengths, their values, and how they best perform)
- ประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในอดีต คือผู้ที่มีการบริหารจัดการตนเองอยู่เสมอ
กล่าวโดยทั่วไป
- เราจะต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเอง
- เราจะต้องมีการพัฒนาตัวเอง
- เราจะต้องวางตัวเอง ในที่ที่เราสามารถมีผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
- เราจะต้องระลึกไว้เสมอว่า ในช่วง 50 ปีของชีวิตการทำงาน เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ต้องรู้จักวิธีการและเวลาที่จะเปลี่ยนงานที่ทำ
1. อะไรคือจุดแข็งของฉัน? (What are my strengths?)
- รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณทำได้ดี มันเป็นการง่ายที่จะรู้ในสิ่งที่เราทำได้ไม่ดี มากกว่าการรู้ว่าสิ่งที่เราทำได้ดี
- เราไม่สามารถสร้างประสิทธิภาพการทำงานได้บนจุดอ่อน ซึ่งอาจทำให้เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย
- บุคคลสามารถดำเนินการได้ โดยอาศัยจุดแข็งเท่านั้น
- ให้ค้นพบจุดแข็งของคุณผ่าน การวิเคราะห์ข้อเสนอแนะ (feedback analysis)
การวิเคราะห์ข้อเสนอแนะ
- เป็นวิธีเดียวที่ใช้ระบุจุดแข็งของคุณ
- เขียนผลที่คาดหวังจากการตัดสินใจที่สำคัญและการกระทำของคุณ จากนั้น 9-12 เดือนต่อมา ให้เปรียบเทียบกับผลลัพธ์
- แผนดำเนินการ:
- ใส่จุดแข็งของคุณที่ทำให้เกิดผลลัพธ์
- ทำงานเพื่อปรับปรุงจุดแข็งของคุณ
- หลีกเลี่ยงความหยิ่งทางปัญญา - หาทักษะที่จำเป็น
- แก้ไขนิสัยที่ไม่ดี; การขาดมารยาท
- รู้ในสิ่งที่จะไม่ทำ – ระบุความไร้ความสามารถ และพยายามหลีกเลี่ยง
กลยุทธ์
1.เน้นจุดแข็งของคุณ (ให้ใช้จุดแข็งที่สามารถผลิตผลลัพธ์)
2.ปรับปรุงจุดแข็งของคุณ (พัฒนาทักษะของคุณหรือหามาใหม่)
3.ค้นพบความเย่อหยิ่งทางปัญญาของคุณที่เป็นสาเหตุของความล้มเหลว แล้วเอาชนะมันให้ได้ (แก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของคุณ)
2. ฉันทำได้ดีเพียงใด? (How do I perform?)
- ขึ้นกับลักษณะของบุคลิกภาพ – วิธีการดำเนินการที่บุคคลที่ทำได้ดีหรือไม่ดี เพราะแต่ละคนมีการทำงานและการดำเนินการที่แตกต่างกัน
- วิธีการที่คนดำเนินการที่ไม่ซ้ำกัน: เรื่องของบุคลิกภาพ
- คนจำนวนมากทำงานในรูปแบบที่ไม่ได้เป็นวิธีการของพวกเขา
- อย่าพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง (มากเกินไป) – ให้ทำงานหนักเพื่อปรับปรุงวิธีที่คุณใช้ดำเนินการ
เราเป็นผู้อ่านหรือผู้ฟัง? (Am I a reader or a listener?)
- ผู้อ่านเช่น ประธานาธิบดีเคนเนดี้ หรือรัฐมนตรีแมคนามารา ที่ชอบอ่านรายงาน ในการแถลงข่าวหรือการอภิปราย
- ผู้ฟังเช่น ประธานาธิบดีรูสเวลท์ ชอบการฟังและพูดคุย มากกว่าการอ่านและการเขียน
- ผู้อ่านไม่สามารถกลายเป็นผู้ฟังได้อย่างเต็มที่ – และในทำนองเดียวกัน
เราเรียนรู้ได้อย่างไร? (How do I learn?)
- คนเราอาจจะได้เรียนรู้จากการอ่าน การเขียน การทำ การพูด การฟัง หรือการรวมกันของวิธีดังกล่าว
- เราจะต้องใช้วิธีการที่ได้ผล สำหรับเราเอง
3. ค่านิยมของฉันคืออะไร? (What are my values?)
-
การทดสอบกับกระจก (mirror test) : อย่างมีจริยธรรมถามตัวเองว่า คนแบบไหนที่ฉันต้องการที่จะเห็นในกระจกในตอนเช้า?
- ค่านิยม (values) เป็นการทดสอบที่ดีที่สุด (ultimate test) สำหรับการทำงานที่เข้ากันได้ขององค์กรกับคุณ
- ความขัดแย้งค่านิยมที่ควรหลีกเลี่ยงคือ
- ความมุ่งมั่นขององค์กร ระหว่างพนักงานใหม่กับพนักงานเก่า
- การปรับปรุงที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น หรือพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
- การเน้นผลในระยะสั้น เทียบกับเป้าหมายระยะยาว
- คุณภาพเทียบกับปริมาณ
- การเจริญเติบโตเมื่อเทียบกับความอยู่รอด
4. ฉันควรจะเป็นและอยู่ที่ไหนดี? (Where do I belong?)
- นักคณิตศาสตร์ นักดนตรี และพ่อครัว มักจะแสดงออกในขณะที่พวกเขามีอายุสี่หรือห้าปี
- คนที่มีพรสวรรค์สูง ควรจะต้องตระหนักในช่วงต้นของชีวิตว่า พวกเขาควรเป็นหรือไม่ควรเป็นอะไร
- การประสบความสำเร็จในอาชีพไม่ได้เกิดจากวางแผน
- ผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพ เกิดจากมีการพัฒนาเตรียมไว้ก่อนสำหรับโอกาสที่จะมาถึง เพราะพวกเขารู้จุดแข็งของพวกเขา วิธีการของพวกเขาในการทำงาน และค่านิยมของพวกเขา
- การรู้ตัวตนสามารถเปลี่ยนคนธรรมดา - ขยันและมีความสามารถ แต่อย่างอื่นปานกลาง – ให้เป็นผู้ที่มีความโดดเด่น
- ฉันควรเป็นหรือฉันไม่ควรเป็น ...
- ฉันควรทำงานในองค์กรขนาดใหญ่หรือองค์กรขนาดเล็ก?
- "ใช่ฉันจะทำอย่างนั้น " (ในวิถีที่ฉันเป็น)
- ถ้าฉันไม่ชอบการตัดสินใจ ฉันควรจะได้เรียนรู้ที่จะบอกว่าไม่ เมื่อมีการมอบหมายให้เป็นผู้ตัดสินใจ
- เมื่อฉันตอบคำถามสามข้อก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ฉันสามารถและตัดสินใจในสิ่งที่ฉันเป็น
5. สิ่งที่ฉันควรจะมีส่วนสนับสนุนคืออะไร? (What should I contribute?)
- ผู้ปฏิบัติงานที่มีความรู้ ควรแสวงหาการมีส่วนสนับสนุนที่เกี่ยวข้องกับ:
- สถานการณ์ต้องการอะไร?
- การมีจุดแข็ง วิธีการ และค่านิยมของฉัน สามารถสนับสนุนในสิ่งที่ต้องทำอะไรบ้าง?
- อะไรคือผลลัพธ์ที่ได้ที่สร้างความแตกต่าง จากการประสบความสำเร็จ?
- ไม่ควรมองไกลไปข้างหน้าเกิน 18 เดือน ควรมีการวางแผนที่จะ -
- ให้บรรลุผลลัพธ์ที่มีความหมายและสร้างความแตกต่าง
- ยืดเป้าหมายที่มีความลำบากแต่สามารถทำให้สำเร็จได้
- สามารถมองเห็นผลได้และสามารถวัดผลได้
- กำหนดแนวทางของการกระทำว่า: จะทำอย่างไร ที่ใด วิธีการที่จะเริ่มต้น สิ่งที่เป็นเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และกำหนดเวลาเส้นตาย
ความรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์
- เจ้านายจะไม่ได้ขึ้นกับตำแหน่งในแผนภูมิหรือหน้าที่- การปรับปรุงแล้วทำให้เจ้านายมีประสิทธิผล (effective) มากขึ้น เป็นความลับของ "การจัดการเจ้านาย"
- ความสัมพันธ์ของการทำงานขึ้นอยู่กับคนในการทำงาน - เพื่อนร่วมงานมีความเป็นมนุษย์และความเป็นบุคคลเช่นเดียวกับที่คุณมี
- ความรับผิดชอบของการสื่อสาร เป็นวิธีการที่คุณดำเนินการ เพื่อลดความขัดแย้งด้านบุคลิกภาพ
- องค์กรเกิดจากการสร้างความไว้วางใจระหว่างบุคคล - ไม่จำเป็นต้องหมายความว่าพวกเขาชอบกัน - แต่อยู่ที่พวกเขามีความเข้าใจกันและกัน
ช่วงครึ่งหลังของชีวิตของคุณ
- การจัดการตนเอง นำไปสู่การเริ่มต้นอาชีพที่สอง:
- เริ่มต้นหนึ่งใหม่ (ย้ายไปยังองค์กรอื่น)
- พัฒนาอาชีพคู่ขนาน (ทำไปพร้อมกับงานปัจจุบัน)
- ผู้ประกอบการทางสังคม (กิจกรรมไม่แสวงหาผลกำไร)
- ผู้ที่จัดการช่วงครึ่งหลังชีวิตของพวกเขา อาจจะเป็นชนกลุ่มน้อย
- ส่วนใหญ่มักจะอยู่จน เกษียณอายุ (retire on the job)
สรุป
- ในยุคอุตสาหกรรมความรู้
- การประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ คือไม่ล้มเหลว
- แรงงานที่มีความรู้ ยั่งยืนกว่าองค์กร
- แรงงานที่มีความรู้ มักเคลื่อนที่ และไม่อดทน
- จำเป็นที่จะต้องจัดการตนเอง เป็นการปฏิวัติกิจกรรมของมนุษย์
- การจัดการตนเอง ต้องมีสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประวัติการณ์ของบุคลากร – ไปยังจุดที่คนงานที่มีความรู้แต่ละคน คิดและมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับซีอีโอ (thinks and behaves like a CEO)
*****************************************************