มนุษย์เราได้สร้างกลไกระดับโลก เพื่อกำกับทิศทางและเป้าหมายการพัฒนาสังคมโลก นำโดยองค์การ สหประชาชาติ ร่วมกับกลไกอื่นๆ ที่ซับซ้อน โดยที่ความเป็นจริงคือ กิจกรรมของมนุษย์ มีทั้งส่วนที่สร้าง สุขภาวะ และส่วนที่สร้างทุกขภาวะ ที่ร้ายคือ หลายกิจกรรมให้ผลประโยชน์แก่คนกลุ่มหนึ่ง แต่เบียดเบียน คนอีกกลุ่มหนึ่ง
เมื่อเริ่มสหัสวรรษใหม่ ในปี ค.ศ. 2000 ได้เกิดข้อตกลงเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millenium Development Goals) รวม ๘ ข้อ อ่านได้ ที่นี่ ที่ตกลงกันว่า ต้องการบรรลุภายใน ๑๕ ปีแรกของสหัสวรรษ คือภายในปี ค.ศ. 2015 จะเห็นว่า เป้าหมายข้อ ๔ - ๘ เป็นเรื่องสุขภาพโดยตรงหรือโดยอ้อม
ประเทศไทยเราโชคดี มีการประชุมวิชาการรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล (Prince Mahidol Award Conference - PMAC) ที่จัดทุกปี ในเรื่องนโยบาย/ระบบ สุขภาพ ของปี 2015 เป็นเรื่อง Global Health Post 2015 – Accellerating Equity เท่ากับประเทศไทยเรามีส่วนช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านสุขภาพ และในการประชุม PMAC 2015 เราเน้นเป้าหมายความเท่าเทียม (equity)
สาระที่สื่อก็คือ ใน ๘ ข้อของ MDG นั้น บรรลุเป้าหมายหลายข้อ แต่โลกกลับมีความไม่เท่าเทียม หรือมีช่องว่างมากขึ้น
เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘ ผมไปประชุมกลุ่มสามพราน มีคนชี้ว่า ช่องว่างที่ก่อปัญหาสังคม ก่อความขัดแย้งในประเทศไทย คือช่องว่างระหว่างคนชั้นกลางกับคนจน เพราะคนสองกลุ่มนี้มีสัดส่วนมาก ส่วนคนรวยจริงๆ นั้น มีน้อย ปัญหาของช่องว่าง ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องรายได้ แต่เป็นเรื่องการเข้าถึงโอกาส เป็นหลักใหญ่ ไม่ทราบว่าความคิดนี้ถูกต้องแค่ไหน แต่ผลการวิจัยเพื่อปริญญาเอกที่นิด้า ของ ศ. ดร. อุดม ทุมโฆสิต เมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว บอกว่าคนจนคือคนด้อยโอกาส และโอกาสหลักที่เข้าไม่ถึงคือ บริการของรัฐ
เป้าหมายของ PMAC 2015 คือ
การประชุมมี ๒ ส่วน คือ
- Side Meeting จัดระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ เป็นการประชุมเฉพาะประเด็นที่นัดหมายโดยหน่วยงานเจ้าภาพร่วม แต่ละปีจะมี ๒๐ - ๓๐ side meeting
- Site Visit จัดวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๘ ไปเยี่ยมหน่วยงาน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของ PMAC ที่หน่วยปฏิบัติของไทย
การประชุมประกอบด้วยประเด็นย่อย ๓ ประเด็นคือ
ประเด็นด้านสุขภาพโลกเป็นประเด็นที่จัดการให้ได้ผลดีโดยประเทศเดียว โดยหน่วยงานเดียว หรือ sector เดียวไม่ได้ และต้องอาศัยความร่วมมือที่ซับซ้อน ในปัจจัยกระทบสุขภาพ ทั้งด้าน ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ สภาพแวดล้อม และสังคม
ประเด็นด้านสุขภาพ มีนัยยะสำคัญต่อผู้ปกครองประเทศ ในด้าน ความมั่นคงปลอดภัย (เน้นที่โรคระบาดใหญ่) พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมในสังคม
ที่สำคัญคือ นโยบายสุขภาพ ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงสาธารณสุขเพียงกระทรวงเดียว ยังขึ้นกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงด้านเศรษฐกิจ การเงินการคลัง แรงงาน สิ่งแวดล้อม การศึกษา การเคลื่อนย้ายประชากร โดยที่นโยบายและมาตรการหลากหลาย เรื่องในกิจกรรม นอก health sector มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และความอ่อนแอของ ประเทศหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นเป็นวงกว้าง หรือ ทั่วโลกได้ ดังกรณีการระบาด ของโรคอีโบลา ในปัจจุบัน
ช่วงนี้สังคมไทยกำลังช่วยกันรณรงค์ให้รัฐบาลเสนอร่าง ปรับปรุง พรบ. ควบคุมยาสูบ มีการต่อสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิงระหว่างผู้คนที่เห็นแก่สุขภาพของคนในชาติ กับบริษัทบุหรี่ และลูกกะโล่ ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน นี่คือตัวอย่างของระบบกำกับดูแล (governance) สุขภาพระดับประเทศ โดยที่ในระดับโลกก็มี FCTC (WHO Framework Convention on Tobacco Control) ที่กำหนดแนวทางควบคุมยาสูบ เพื่อลดหรือขจัดปัจจัย ทำลายสุขภาพตัวนี้
เน้นที่ระบบการจัดการ และระบบการเงิน ของระบบสุขภาพโลก ที่จะส่งผลให้มี ความเท่าเทียมกัน คุณภาพ และผลกระทบที่แท้จริง ในการได้รับประโยชน์จากระบบสุขภาพ ที่วัดผลได้ชัดเจน และมีการคุ้มครองคนยากจนไม่ให้สิ้นเนื้อประดาตัวจากความเจ็บป่วย
หัวใจก็คือ หากใช้เงินไม่เป็น มีเท่าไรก็ไม่พอ แต่สุขภาพของผู้คนก็ไม่ดี ตัวอย่างของ ประเทศที่ใช้เงินมาก แต่ประชาชนได้ประโยชน์น้อย คือสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุให้ ประธานาธิบดี โอบามา ออกกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพเสียใหม่ ที่เรียกกันว่า Obamacare ที่ศัตรูทางการเมืองว่าผลไม่ดี แต่กองเชียร์ว่าดี
จะเห็นว่า ในเรื่องสุขภาพโลก (Global Health) ประเทศไทยเราได้สร้างคุณูปการ ให้แก่โลก อย่างน่าภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้ทำได้เพราะพระบารมีของสมเด็จพระบรมราชชนก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ดำเนินการโดยมูลนิธิรางวัล สมเด็จ้าฟ้ามหิดล ในพระบรมราชูปถัมภ์
วิจารณ์ พานิช
๑๕ ม.ค. ๕๘
ไม่มีความเห็น