วันแรกของการเปิดภาคเรียน ครูนัทและครูบิ๊ก เดินถือ "กระทะ ตะหลิว ไข่ไก่ ซอสปรุงรส น้ำมัน กระเทียม หอมใหญ่ แครอท ฯลฯ..." เข้าไปในห้องเรียน ทำให้นักเรียนหลายคนต่างมองกันด้วยความฉงนฉงายว่า ครูนำสิ่งเหล่านี้มาในห้องทำไม ครูจะสอนเราทำอาหารหรือ ...
ในภาคเรียนจิตตะนี้ ครูภูมิปัญญาภาษาไทย ชั้น ป. ๖ เตรียมพร้อมที่จะเปิดการเรียนรู้ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจอย่างเต็มที่ด้วยการทำอาหาร
"ครูมีวัตถุดิบของอาหารเหมือนกัน แต่จะปรุงอาหารที่แตกต่างกัน แล้วให้นักเรียนลองชิมดูว่า จานไหนจะกลมกล่อมกว่ากัน"
ครูนัทเลือกทำไข่ระเบิด คือไข่ดาวที่ราดหน้าด้วยหมูสับผัดกับซ้อสและผักที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ส่วนครูบิ๊กเลือกทำไข่ยัดไส้ คือไข่เจียวเป็นแผ่นบาง ที่ห่อไส้หมูสับผัดกับซ้อสและผักที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
เมื่อได้ชิมอาหารฝีมือคุณครู เด็กชายนะโมบอกว่า "ผมชอบรสชาติอาหารของเมนูที่ครูนัททำ เพราะหมูที่ผสมผสานกับซอสปรุงรส ผัดร่วมกันกับผักนานานาชนิดแล้ว มันช่างกลมกล่อม เข้ากันได้ดี ไม่เค็มหรือหวานจนเกินไปครับ ..." อร่อย!!
เมื่อชิมรสชาติอาหารกันแล้ว ครูก็ชวนคุยถึงเรื่องรสคำที่เกิดขึ้นจากภาษาบ้างว่า "คำในภาษาที่เรามีก็เปรียบเหมือนกับวัตถุดิบในการปรุงอาหารแต่ละชนิด ที่เราจะใช้ปรุงออกมาให้เป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกคำใดมาใช้ ซึ่งหากสามารถใช้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะก็จะเกิดรสชาติของคำที่พอเหมาะ ให้ความอร่อยกลมกล่อมจากเสียงและความหมายที่เราเลือกมาจัดวาง"
จากนั้นครูก็แจกวัตถุดิบที่จะใช้ในการปรุงรสภาษาให้นักเรียน ซึ่งได้แก่ ชุดคำในรสต่างๆ ได้แก่ รสสนุกสนาน รสโกรธ รสรัก รสชื่นชมยินดี และรสเศร้า โดยครูให้โจทย์ว่า "ให้นักเรียนเป็นเชฟปรุงรสชาติชีวิตของตนเองในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาให้กลมกล่อม จากชุดคำที่เลือกไปใช้"
เด็กชายทั้งสองคนเลือกที่จะเขียนถึงสิ่งเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย แต่แตกต่างกันด้วยลีลา และรสคำ
นะโม เลือกรสของความชื่นชมยินดี เขาเขียนว่า "ปิดเทอมครั้งนี้ ผมได้พบกับสิ่งที่ งดงาม สิ่งนั้นทำให้ผมคลั่งไคล้ และเพลิดเพลินกับมัน สิ่งนั้นมีผิวหนังแบนราบ น่าสัมผัส รูปภาพที่ปรากฏในนั้นก็เป็นภาพที่คมชัดน่าชื่นชม เสียงของมันก็ยังน่ายินดี นามของมันก็คือ "โทรทัศน์" นั่นเอง โทรทัศน์เป็นเพื่อนของผมในช่วงปิดเทอม มันช่วยให้ผมพบกับความสุข มันทำให้ผมปราศจากความทุกข์ เพราะมันคือ "โทรทัศน์"
เก็น เลือกรสรัก เขาเขียนว่า "ปิดเทอมครั้งนี้ ผมจะต้องพรากจากส่งที่ผม รักใคร่ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าผม "ติด ป." ทำให้ผมไม่ได้ใช้เวลากับสิ่งนี้เท่าที่ควร ตอนปิดเทอม ผมจึงคิดถึงและห่วงหาสิ่งนั้นอย่างมาก สิ่งนั้นก็คือ คอมพิวเตอร์และไอแพด เพราะผมไม่สามารถเล่นเกมได้ แต่ในที่สุดผมก็สามารถหาสิ่งอื่นมาทดแทนได้ ทำให้ผมได้หลงใหลและรื่นรมย์ไปกับสิ่งๆ นั้น ซึ่งก็คือ โทรทัศน์และหนังสือนิยาย ผมจึงใช้เวลากับสิ่งใหม่นี้ในตอนปิดเทอมใหญ่แทน"
(หมายเหตุ * ติด ป. หมายถึงต้องปรับปรุง)
ขั้นตอนการเลือกสรรวัตถุดิบก่อนจะนำมาปรุงรส
ก่อนเปิดภาคเรียน ครูใหม่ ชวนครูนัท และครูบิ๊กออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ในภาคเรียนจิตตะ ด้วยการถามคำถามว่า "จะทำอย่างไรให้นักเรียนเรียนรู้วรรณคดีแล้วได้มากกว่าแค่ความรู้สึกสนุกสนาน เพราะเขาน่าจะต้องได้วิธีที่จะมองให้ลึกลงไปถึงความงาม และได้สัมผัสกับคุณค่าของวรรณคดีด้วย" ...ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำถามตามมาว่า ความงามของวรรณคดี คืออะไร ...
เราคุยกันจนได้ข้อสรุปว่าความงามของวรรณคดี ก็คือ ภาษาที่ถูกเขียนถ่ายทอดออกมาจนทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วมหรือคล้อยตาม อ่านแล้วได้อรรถรส เกิดความสะเทือนใจ ดังนั้นความคิดเรื่อง "คำ" กับ "อารมณ์" จึงเกิดขึ้นมา แล้วจึงเกิดความคิดต่อไปว่า อารมณ์แต่ละอารมณ์ก็ให้รสชาติกับเจ้าของที่แตกต่างกันออกไป ถ้านักเรียนเข้าใจได้ว่ารสชาติของคำเป็นรสที่ปรุงขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดรสชาติของชีวิตให้กลายเป็นเรื่องที่สะท้อนอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ได้ นักเรียนก็จะเข้าถึงรสของวรรณคดีได้ไม่ยาก การเรียนรู้ในภาคเรียนนี้จึงมีแนวคิดหลักเป็นเรื่องของการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้ "เล่นกับรส" และสะพานในการเข้าถึงรสที่ตรงและชัดที่สุด ก็คือเรื่องของรสชาติอาหาร ดังนั้น กิจกรรมทำอาหารที่เล่าไว้ข่างต้นจึงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ภาคเรียนจิตตะยังจะเป็นภาคเรียนที่นักเรียนจะได้ซึมซับความงามของวรรณคดีผ่านบทร้อยกรองเรื่องรามเกียรติ์ ที่เรียนต่อเนื่องมาจากภาคเรียนที่แล้ว ครูจึงต้องวางแผนให้นักเรียนได้ทำความรู้จักลีลาของบทร้อยกรองที่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยความประณีตเพื่อให้ภาพและเสียงปรากฏขึ้นในใจของผู้อ่านเช่นเดียวกันกับที่ปรากฏขึ้นในใจของผู้เขียน ด้วยสำนวนภาษาที่มีความไพเราะจับใจ
เมื่อนักเรียนรู้จักรสของคำแล้ว เป้าหมายต่อไปของครูก็คือ พาให้เขาได้พบกับความพิเศษของภาษาในการใช้ถ้อยคำไปสร้างให้เกิดภาพในใจผู้อ่าน
ครูนัท - นันทกานต์ อัศวตั้งตระกูลดี บันทึก
ครูใหม่ - วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ปรุงรส
ไม่มีความเห็น