​ถอดบทเรียน ธรรมะเย็นใจที่ศาลาริมน้ำ …. อยู่อย่างไรไม่ให้ทุกข์เมื่อต้องเสียสิ่งที่รัก


วันนี้เป็นวันศุกร์ อธิษฐานแต่เช้าว่า คนไข้ขอให้สงบๆ ไม่ยุ่ง เพราะวางแผนพาพ่อแม่หนูน้อยที่นอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในท่อช่วยหายใจมาเป็นเวลาแรมเดือนแล้วและความหวังว่าปาฎิหาริย์จะเกิดขึ้นกับครอบครัวหนูดูเหมือนจะริบหรี่ หลังเราดูแลกันมาซักพักความเชื่อมั่นและความไว้วางใจเริ่มก่อเกิด วันนี้จึงได้นัดหมายจะไปกราบพระหลวงพี่โก๋ที่วัดป่าธรรมอุทยาน และหวังกับการไปครั้งนี้เพื่อดูแล จิตวิญญาณตัวเองและคนทำงานร่วมทีมด้วย บ่ายโมงพานักเรียนพยาบาลที่มาร่วมเรียนรู้งาน Palliative Care 4 สัปดาห์ที่ศูนย์การุณรักษ์ของเรา ลงเยี่ยมบ้านและในที่สุดคำอธิษฐานก็เป็นจริงเราจะได้ไปวัด เมื่อเวลานัดหมายมาถึง ที่หมายของเราคือวัดป่าธรรมอุทยาน และโทรนมัสการและนัดพบหลวงพี่โก๋ที่ศาลาริมน้ำ เมื่อไปถึงเราทุกคนต่างกระวีกระวาด หาที่นั่งเพื่อเก็บเกี่ยวบรรยากาศเย็นสบายร่มรื่น สูดหายใจเข้าปอดลึกๆช้าๆ เพียงแค่เดินเข้ามา ณ สถานที่แห่งนี้ทุกครั้ง จะรู้สึกถึงความสุขสงบภายในและร่มเย็น สักพักหลวงพี่โก๋ก็เดินลงมาสมทบกับพวกเราเมื่อเราเลือกที่นั่งสำหรับสนทนาธรรมได้แล้ว เชื่อว่าเป็นบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการพูดคุยธรรมะแบบสบาย ลมพัดเย็น มองไปเห็นต้นไม้สีเขียวร่มรื่น

พวกเราเริ่มการสนทนากับท่านด้วยการแนะนำตัว แนะนำพ่อแม่น้องเอ็ม(นามสมมุติ) ประโยคแรกที่ท่าน ถามขึ้น " ไปไงมาไงถึงได้มาหาหลวงพี่" ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง "สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้กับตัวเองและครอบครัวเราไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดกับเราครอบครัวเรา เราเลี้ยงดูน้องอย่างดีมาตลอด เป็นไข้ไม่สบายนิดหน่อยเราก็ไปหาหมอ" แม่น้องเอ็มตอบคำถามหลวงพี่ หลังแม่น้องเอ็มพูดจบ ท่านจึงสอนว่า บางสิ่งบางอย่างเราได้ทำเต็มที่ แล้วแต่มันมีเหตุปัจจัยอื่นเข้ามาที่เราควบคุมมันไม่ได้ และต่อด้วย เรื่องราว การสูญเสียที่เป็นเรื่องใกล้ตัวของท่าน เราเห็นความตายมาเยอะ เมื่อวานก็พึ่งมีการ เผาศพ เห็นว่าหลวงพ่อกล้วยมอบโลงศพให้กับชาวบ้านยากไร้ เรืองจำนวน โลงที่หลวงพ่อทานไปแล้ว ยังไม่ครบ 3 ปีดี ก็จะ 300 โลง ความตายที่เป็นของคนอื่นเรามองว่ามันธรรมดา กระทั่งวันหนึ่งแมวที่ท่านรักตายจากไป ท่านบอกว่า นี่ถึงได้รู้สึกสะเทือนใจ เพราะเราคิดว่าแมวเป็นของเรา คือของของเรา นี่แหละที่ทำให้เราทุกข์และสะเทือนใจ ในความเป็นจริง ลูก คือลูกของเรา แม่ พ่อ คือ แม่พ่อเรา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เขาเป็นของเราส่วนหนึ่ง อารมณ์ของเราก็ไม่ใช่อารมณ์ของเราสมบูรณ์ แต่เป็นของเราส่วนหนึ่ง เรามีหน้าที่ทำให้อารมณ์นั้นดี ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่มีแต่เรื่องดีจะทำให้เราประมาท

ขณะที่ฟังท่านพูดแม่น้องเอ็มก็จะร่วมสนทนาและสะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัว ทุกวันนี้ทุกคนพยายามตั้งสติ หลังผ่านสภาวะช็อกมาแล้ว ต่างหันหน้าคุยกัน ตายายจากที่ทะเลาะกันก็มาขอขมากันและกัน พ่อน้องที่เคยขับรถเร็วก็ลดลง ประมาทน้อยลง และขอบคุณกัลยาณมิตร เพื่อนๆ ที่ทราบข่าวต่างก็ส่งกำลังใจ เพื่อนไม่เจอกันมา 20 ปี ก็ส่งกำลังใจมาให้ หลวงพี่โก๋จึงถือโอกาสนี้ สอดแทรก คำสอนเรื่องประเภทของบุญ ท่านบอกว่า "นั่นแสดงว่าเราเคยให้กำลังใจคนมาก่อน ทำงานด้านประกันภัย ย่อมได้เห็นชีวิตหลากหลาย รวมทั้งความตายด้วย เราต้องได้เคยให้กำลังใจลูกค้า ให้กำลังใจคนมากมาย ถึงได้มานั่งให้กำลังใจกันอย่างนี้ มีพยาบาลมา ประคับประคองมากมาย ขนาดนี้ แสดงว่าเราเคยประคับประคองคนอื่น"

พระจิตร์ ตัณฑเสถียร

คุยไปสักพักแม่น้องอ็ม ได้ถามขึ้นประโยคหนึ่งว่าถ้าลูกตาย จะมาเกิดกับเราอีกจะได้มั๊ย อยากทำเครื่องหมายไว้ ท่านตอบว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้น จิตใจร่มเย็น แต่มีทุกข์ มีสุข แต่ถ้าเรารู้จักเดินทางสายกลางตามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าสอนก็จะไม่ทุกข์ เหมือนน้ำ เห็นน้ำมั๊ย น้ำมีขึ้นมีลง ถามน้ำทุกข์มั๊ย ไม่ทุกข์ ลูกคนนี้เกิดมาเขามีความดีความงามต่อพ่อแม่เป็นบุญกุศลสำหรับเขาที่หนูเกิดมาทำให้พ่อแม่ได้ตระหนักว่าเมื่อเรารักลูกขนาดนี้ ถึงรู้ว่าพ่อแม่รักเราขนาดไหน แต่ละวันลูกกำลังสอนเราอยู่ตอนนี้ การพบกันครั้งนี้ระหว่างเรากับลูก มี 2 บทเรียน

บทเรียนบทที่ 1ได้รักดูแลกันถึงที่สุดแล้วเราจะไม่เสียใจ

บทเรียนบทที่ 2 บทเรียนการสูญเสีย เรามองได้ 2 ด้าน

ด้านแรกความสูญเสียนำมาซึ่งความเสียใจแต่ความเสียใจไม่ได้อยู่กับเราตลอดชีวิต มันเป็น อนิจจังชีวิตมีของบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เราทุกข์ เพราะ สูญเสีย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างคือบทเรียนบททดสอบ ซึ่งเราจะบอกกับตัวเองเลยว่า ไม่ใช่ทุกข์ นั่นคืออีกด้าน ทำให้เราตื่นรู้

ท่านได้ยกตัวอย่างการซื้อแก้ว แก้วใบนี้พร้อมจะแตก พร้อมที่คนอื่นจะมาเอาไปเป็นเจ้าของ และเราก็พร้อมจะให้คนอื่นเอาไป บางครั้งความหวังเรามีสิทธิ์ที่จะหวัง แต่เราต้องยอมรับความจริง อยู่กับความจริงได้อย่างสบาย เราก็จะไม่ทุกข์

การสนทนาธรรมสิ้นสุดลงหลังเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง แต่เชื่อเหลือเกินว่า นี่คือช่วงเวลาที่ได้เยียวยาทุกคน ไม่เพียงแต่พ่อ แม่น้องเอ็ม เท่านั้น ท่านได้เตือนให้เราทั้งหลายได้มีสติ ไม่ประมาท และวันนี้พวกเราก็ได้เรียนรู้ spiritual approach จากมืออาชีพขั้นเทพ เมื่อได้เวลาพวกเราจึงกราบลาหลวงพี่และ ก็ได้มีโอกาสพาทุกคนเดินชมรอบวัด และชมสวนผักไฮโดโปรนิก ของหลวงพี่โก๋ที่ท่านภาคภูมิใจมา

สวนผัก ไฮโดรโปรนิกของท่าน



ฝากสุดท้ายถอดบทเรียนวันนี้จากหลวงพี่โก๋นะคะขออนุญาตท่านบันทึกไว้เรียนรู้

  • หลักๆแล้ว หลวงพี่ชวนให้

1) ระลึกถึงความจริงว่าทุกสิ่งที่เกิดย่อมมีดับ - แทรกเรื่องปริมาณโลงเพื่อให้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นสากล

2) ทุกข์เกิดเมื่อความต้องการของเราไม่สอดคล้องกับความจริง + ความยึดมั่นถือมั่น 'ของเรา'

ในเชิงลบ ยกเหตุการณ์ของตัวเองเพื่อให้เห็นว่า ไม่แปลกที่เราทุกข์ หลวงพี่เองก็ทุกข์ได้ ถ้าหลวงพี่หลงลืมความจริงนี้ เมื่อครอบครัว แลกเปลี่ยนทุกข์จากความกังวล เรื่องลูกอีกคน ในเชิงบวก พูดถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีในครอบครัว หลวงพี่จึง

3) แนะให้ปล่อยวางเมื่อเราทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว

4) ชวนมองเหตุการณ์ในทางที่ดี เพื่อให้มีกำลังใจ ก่อนแทรกเรื่อง กฏแห่งกรรม และยกให้เห็นถึงอนิสงค์ของกรรมดี เพื่อชวนให้ ทำดี พูดดี คิดดี กันอยู่เสมอๆ แล้วก็พลิกเข้า

5) ความจริงชีวิตว่าทุกคนต้องตาย ทั้งผู้พูด และผู้ฟังทุกคน เพื่อให้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุด โดยหวังว่า ถ้ายอมรับความตายตนเองได้ น่าจะรับความตายของลูกได้ง่ายขึ้น 6) ชวนให้ใช้ทุกเหตุการณ์ให้เป็นประโยชน์ มองให้เห็นว่านี่คือบทเรียน

7) เตรียมความพร้อมในการให้ข้อมูลลูกชายอีกคน ... สำหรับหลวงพี่แล้ว ธรรมพระพุทธองค์เป็นโอสถแก้ทุกข์ที่ทรงพลังมาก ยินดีที่การได้พบกันเป็นประโยชน์ครับ

หมายเลขบันทึก: 584469เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2015 23:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มีนาคม 2015 14:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

พระทานว่าไว้ว่า อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ครับ

แต่การไปวัดแบบนี้ได้เรียนรู้ทั้งผู้พาไปและพ่อแม่ด้วย

เป็นการดูแลผู้ป่วยด้วยหัวใจที่สมบูรณ์แบบมากครับ

เข้าใจว่าเป็นวัดหลวงพ่อกล้วยนะครับ

อยากเห็นแปลงผักไฮโดฯด้วยครับ

ขอบคุณมากๆได้เรยนรู้หลายมิติเลยครับ

สุดท้าย เราต้องยอมรับ และทำใจ (ไม่ง่ายเลย) กับความตายที่รื่นรมย์...ชอบบันทึกนี้นะครับ

ขอบคุณอาจารย์ขจิตนะคะที่ติดตามมาให้กำลังใจและดีใจที่บันทึกนี้มีประโยชน์ กับคนทั้งหลายค่ะ สาธุ....

อ่านแล้วได้คิด

ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวจากการทำงาน

ให้เป็นวิทยาทานแก่คนอื่น

ไม่ทุกคน ที่สามารถทำงานแบบนี้ได้


อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท