อายหมาไหม?


อายหมาไหม ?<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" />

ชีวิตของผมเมื่อมองย้อนกลับไปในวัยเด็ก ผมเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน ครอบครัวแตกแยก พ่อเป็นคนอำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง แม่หนีพ่อไปมีสามีใหม่ ที่ตำบลทับกฤช อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ตอนนั้นผมยังอายุประมาณ 4-5 ขวบ ด้วยความรักลูกของเพศแม่ ท่านก็หอบหิ้วผมไป ทั้งต้องวิ่งหนีภัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการทิ้งระเบิด แล้วแต่พ่อเลี้ยงและแม่จะพาหนี ผมอยู่กับพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 15 บ้านหนองพังงา ตำบลทับกฤช อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ พ่อบุญช่วยพ่อผู้ให้กำเนิดผม ทราบว่าแม่หอบผมหนีไปอยู่ทับกฤช พ่อแอบตามไปขโมยผมมาจากแม่ พ่อเลี้ยงรู้เอาปืนแก๊ปไปแอบซุ่มยิงพ่อ แต่ตัวพ่อเลี้ยงเมาเหล้า นอนหลับ พ่อเลยพาผมหนีมาได้ นำมาฝากป้าที่อำเภอไชโยอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ป้าจึงนำไปฝากกับพระมหาสังเวียนลูกชายป้าที่วัดไชโย ได้เป็นเด็กวัด เป็นวัดใหญ่วัดดังของจังหวัดอ่างทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีงานประจำปีในฤดูน้ำหลากคนนั่งเรือมาเที่ยวกันมากเรือสีเลือดหมูล่มคนายเป็นเบือ ได้เรียนหนังสือชั้นประถมที่วัดไชโยนี่เอง เป็นเด็กวัดพระท่านใช้ทำงานพัฒนาวัดถากถางป่า ขุดดิน ถางหญ้ากันทุกวัน หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเป็นพระนักพัฒนา เด็กวัดเลยมีงานทำทุกวัน

คนเรามีบุญวาสนาส่งไม่เหมือนกัน ผมเห็นคนบางคนมีพ่อแม่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ไปรับส่งลูกถึงโรงเรียน ถ้าไปเรียนต่างจังหวัด พ่อแม่ก็ส่งเงินไปให้สม่ำเสมอ ชีวิตผมพ่อแม่แยกกันอยู่คนละทิศ คนละทาง ขอเงินพ่อแม่ก็มีแต่ยากมากเรื่อง เรียนไปเกือบไม่รอด ชีวิตจึงหักเหขึ้นเหนือล่องใต้ไปเรื่อย พ่อเอาผมจากวัดไชโยมาไว้บ้านลุง ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อ ที่ตลาดท่าโพธิ์ อำเภอเมืองลพบุรี ลุงขับรถน้ำมันของร้านตันติสุข เงินเดือนแกน้อย ไม่พอเลี้ยงลูกตั้ง 7 คน แล้วยังบวกผมเข้าไปอีก พ่อเห็นลุงลำบากมาก จึงเอาผมไปฝากเป็นเด็กวัดมณีชลขันธ์ อำเภอเมืองลพบุรี ใกล้ๆ ตลาดท่าโพธิ์ลพบุรี อยู่กับหลวงพ่อพระครูวิทิตธรรมขันธ์ ท่านอบรมดี สร้างระเบียบวินัยให้กับเด็ก รู้จักหน้าที่ของตนเอง ตีห้าพระตีระฆังทำวัตร เด็กต้องตื่นดูหนังสือ เย็นถูกุฎี กวาดลานวัด

ผมเคยแหกกฎหนีเที่ยวไปดูหนังที่วัดข้างเคียง หลังเที่ยงคืนตีหนึ่งกลับวัด นึกว่าหลวงพ่อจำวัดแล้ว ที่ไหนได้ท่านดับไฟฟ้าหน้ากุฎีหมด พอเปิดประตูโดนไม้เรียวหลวงพ่อกันคนละ 4-5 ที เข็ดไปตามๆ กัน อาศัยพระเรียนหนังสืออยู่โรงเรียนราษฎร์มีชื่อเสียงของวัดกวิศราราม ลพบุรี ตั้งแต่ มัธยมปีที่ 1- 4 สอบ ม.4 ขึ้นเรียน ม.5(หลักสูตรการเรียนยุคนั้น) เห็นพ่อขัดสนมีเงินให้แต่เฉพาะค่าเล่าเรียน การกินอยู่อาศัยข้าวก้นบาตร สงสารพ่อ ขณะนั้นที่ศูนย์การทหารม้าสระบุรี เปิดรับผู้จบชั้น ม.4 เข้าเรียนโรงเรียนนักเรียนนายสิบ รับจำนวนมาก สมัครสอบกับเขา เกิดสอบได้จึงเข้าเรียน 1 ปี 6 เดือน จบแล้วติดยศนายสิบโท รับราชการเป็นทหารอยู่ศูนย์การทหารม้าสระบุรี อยู่ประมาณ 10 ปี จากนั้นถูกส่งตัวไปอยู่กรมทหารม้าตั้งใหม่ที่จังหวัดนครราชสีมา พบรักกับสาวขอนแก่นที่เพื่อนทหารด้วยกันพาไปเที่ยวบ้าน อยู่กินด้วยกันในบ้านพักกรมทหาร บ้านไม่ต้องเช่า มีบุตรด้วยกัน 4 คน คนที่ 1 เป็นชายจบปวส.เกษตร ทำงานเป็นเกษตรตำบลระดับ 7 คนที่ 2 เป็นหญิงจบปริญญาตรี ทำงานอยู่ศาลจังหวัดใกล้บ้าน ตำแหน่งระดับ 8 คนที่ 3 เป็นชายจบ ปวส.การเกษตร ตั้งฟาร์มเลี้ยงไก่อยู่ข้างบ้าน คนที่ 4 จบอนุปริญญาพละศึกษา เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกง และเป็นหัวหน้า รปภ.บริษัทโตโยต้า จังหวัดขอนแก่น

ปัจจุบันผมเป็นข้าราชการบำนาญสังกัดกระทรวงกลาโหม ยศจ่าสิบเอก เกษียณอายุมานานแล้ว ยืนอยู่บั้นปลายชีวิตด้วยวัย 79 ย่าง 80 ปี รู้ตัวดีว่าอายุปูนนี้แล้วคงอยู่อีกไม่นาน ต้องถึงกาลอวสานของชีวิต เดิมอาศัยหลวงเลี้ยงด้วยเงินบำนาญเดือนละ 6,000 บาท ต่อมา คสช.มีคำสั่งที่ 81/2557 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2557 เพิ่มให้เป็น 9,000 บาท รอดอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด จะอยู่ไปได้อีกกี่ปีก็แล้วแต่เวรแต่กรรม ลูกเต้าเป็นฝั่งเป็นฝาพึ่งตัวเองได้หมด ผมคิดว่าได้ให้การศึกษา สร้างความมั่นคงให้แก่ลูกทั้ง 4 คน สุดฝีมือแล้ว ด้วยเงินเดือนของข้าราชการทหารชั้นประทวน ที่กระเหม็ดกระแหม่ ครอบครัวไทยในอดีตหวังพึ่งบุตรสาวเป็นหลักมากกว่าบุตรชาย ก็ได้แต่หวัง เมื่อครั้ง คสช.ยังไม่ขึ้นบำนาญให้ รับบำนาญเพียงเดือนละ 6,000 บาท ลูกสาวและลูกเขยมาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเพื่อนำเงินมาให้พ่อ 500 บาท แม่ 500 บาท ต่อเดือน รวม เป็นเดือนละ 1,000 บาท แม่ออกปากขอเงินลูกเพิ่มอีกด้วยความเกรงใจว่า

“ลูกเอ๋ยขอเงินเพิ่มให้พ่อกับแม่รวมกันสักเดือนละ 1,500 บาท เถอะลูก อะไรมันก็แพงขึ้น พ่อกับแม่ไม่มีรายได้อะไร แม่จะเอาไว้ให้ค่างวดฌาปนกิจ อสม.อำเภอหนองเรือเขาด้วย”

ลูกสาวเขาตอบแม่ของเขาเสียยาวเหยียดว่า “แม่หนูมีความจำเป็นจริงๆ ให้แม่ไม่ได้หรอกแม่ หนูมีรายจ่ายเยอะ เดือนหนึ่งต้องส่งงวดบ้านเดือนละ 10,000 บาท งวดรถหนึ่งคัน 10,000 บาท ค่าอาหารหมาจรจัด หน้าศาล และหน้าศาลากลางจังหวัด เดือนละ 10,000 บาท บางครั้งก็มากกว่านั้น ไหนจะต้องมาส่งให้พ่อกับแม่อีกเดือนละ 1,000 บาท คงให้แม่เพิ่มอีกไม่ได้จริงๆ ”

หน้าแตกไหมแม่ทูนหัวของผัวจ๋า ผมได้แต่รำพึงกับตัวเอง พุทโธ่เอ๋ยเวรกรรมของเรายังไม่สิ้นสุด ลูกสาวเงินเดือนๆละ 40,000 บาท เศษอีกเท่าไรไม่รู้ เงินค่าปิด-ส่งหมายศาล ค่าปลอบขวัญอีกต่างหาก แม่ขอเงินรวมสองคนกับพ่อ 1,500 บาท ต่อเดือนลูกสาวเธอยืนยัน นั่งยัน กระต่ายขาเดียวว่าเธอให้แม่ไม่ได้ ลูกเขยเขานั่งอยู่ด้วย เขาก็เพียงนั่งฟังยิ้มๆ ผมนึกละอายลูกเขยที่เขาเป็น ผู้อำนวยการศาลจังหวัด (อดีตเรียกว่าจ่าศาล) เงินเดือน เงินประจำตำแหน่งระดับ 9 หลายหมื่น ผมคิดอยู่ในใจว่า แม่ทูนหัวของผมไม่น่าพูดขอเงินลูกต่อหน้าลูกเขยเลย อายลูกเขยเขา ถึงเงินค่าตัวเราจะน้อยกว่าค่าอาหารหมาจรจัดของลูก เราก็ไม่เสียใจ คิดตามหลักสัจจะ ที่พ่อหลวงของเราตรัสไว้ว่า เราไม่สามารถจะทำให้คนทุกคน ทุกชีวิต เป็นคนดีได้ทั้งหมดทุกคน.....เราจงเชื่อกฎแห่งการกระทำ รู้จักพอเพียง พอดี พองาม เราจะไม่ทุกข์กาย ทุกข์ใจ “ แล้วจะไม่ต้องอายหมามัน” ใดๆในโลกล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อีกไม่นานเราก็จะพลัดพรากจากของรัก ของหวง เรายืมเขามา แล้วเขาก็มาเอาคืนไป เช่น หู ตา ฟัน..ทุกวันนี้ในปากก็เหลือแต่เหงือก และโรคเก๊าท์ก็ตามมาเยือนอีก ขอไม่ยึดติด ตัวเรา ลูกของเรา ล้วนไม่ใช่ของเราทั้งนั้น รอวันที่จะจากไป ไม่นานหรอกชีวิตนี้ อย่างน้อยขอฝากเรื่องราวอันรันทด เสี้ยวหนึ่งของชีวิตนี้ ไว้ในบรรณภพ หนังสือคู่สร้างคู่สม ของอาจารย์ดำรง พุฒตาล ด้วยเถิด

โดย : จ่าทหารม้าแก่วัย 79 ปี

คำสำคัญ (Tags): #อาย#หมา
หมายเลขบันทึก: 583546เขียนเมื่อ 6 มกราคม 2015 18:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม 2015 18:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เป็นธรรมดา อย่าหวังพึ่งใคร อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท