"the students are helped to master each learning unit before proceeding to a more advanced learning task"
บันทึกนี้ ครั้งแรก ตั้งใจจะเขียนเรื่อง "การตีความ" แต่พอเลือก Slide การบรรยายของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ เมื่อ ๒๕ กันยายน ๒๕๕๗ ที่มรภ.สงขลา ได้เห็น Keyword เรื่อง Mastery Learning จึงรีบนำมาเขียน...
เริ่มต้นจากภาพครับ และตาม style ต้องเริ่มต้นจากประวัติและคำนิยามก่อน
|
Mastery Learning
|
|
|
|
|
|
|
|
Mastery Learning เข้าใจว่า เป็นศัพท์ที่ Benjamin Bloom ได้คิดขึ้นและให้คำนิยามไว้ในช่วงปี 1968-1971 โดยสังเกตว่า "the students are helped to master each learning unit before proceeding to a more advanced learning task"
บีแมน ตีความว่า Mastery Learning เป็นกระบวนการ ของการเรียนการสอน ที่ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติ ที่ทำให้ผู้เรียน โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ถึงขั้น master (คือมีการเรียนรู้แบบรู้จริง) เหมือนว่า กำลังเรียนในชั้นปริญญาตรี (bachelor degree) แต่มีความรู้เหมือนชั้นปริญญาโท (Master degree) คือสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ผมมีประสบการณ์การสอน โดยที่ผู้เรียน ไปถึงขั้น Mastery Learning ลองดูเรื่องที่ผมเล่า ๒ เรื่อง (๒ วิชาครับ)
- วิชา Apiculture หรือ การเลี้ยงผึ้ง : เมื่อผู้เรียน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร ที่เป็นรุ่นน้อง จะลงเรียนวิชานี้ จะไปถามรุ่นพี่ที่เคยเรียนมาก่อน จะมีผู้ให้คำแนะนำ ๒ แบบ
- อย่าไปเรียนเลย วิชานี้อาจารย์ไม่ได้สอนอะไร (ไม่มีเนื้อหา) ไปเรียนเสียเวลาเปล่า
- ลองไปเรียนดูซิ พี่ได้อะไรเยอะจากวิชานี้ แต่ว่ามันอธิบายไม่ได้ ลองไปเรียนแล้วจะรู้เอง (อ.ไม่สอน แต่ได้อะไรเยอะ) คือ มันเป็นการได้ความรู้มาแบบไม่รู้ตัว-รู้ว่าได้ แต่ได้มาอย่างไรไม่รู้ อธิบายไม่ได้ รู้แต่ว่ารู้
- รายวิชา Living management หรือ การจัดการการดำเนินชีวิต (ภาคฤดูร้อน ปี ๒๕๕๖=เดือน เมษายน ถึง กรกฎาคม ๒๕๕๗)
- จาก Reflection ของนิสิตกลุ่มหนึ่ง จะบอกว่า เรียนวิชานี้แล้วตีความว่า "การที่ผู้สอนจะสอนให้นิสิตมีความสุขในชั้นเรียน นั้นก็นับว่ายากแล้ว แต่ยังพบว่าเกิดมิตรภาพในเพื่อนต่างเอก ต่างกลุ่มด้วย...มีวิชาไหน จะเกิด ๒ อย่างพร้อมๆ กัน นั่นคือ มิตรภาพ และความสุข" และนี่ก็คือ การเรียนแบบ Mastery Learning
การที่ครูผู้สอน จะออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ให้ถึงขั้นที่ทำให้ผู้เรียนถึงขั้น Mastery Learning นั้นต้องใช้เทคนิคหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งไม่ขออธิบาย แต่ว่าเมื่อทำไปถึงขั้น Mastery แล้ว จะรู้ได้โดย...
- ผู้เรียนเกิดความสุข และ สนุกกับการเรียน
- ผู้เรียนเกิดความประทับใจ และติดใจในทีมผู้สอน อย่ากไปเรียนวิชาอื่นๆ ที่ทีมสอนนี้ไปสอน
- การเรียนแบบนี้ ผู้เรียนจะรับผลของการปฏิบัติ เกิดปฏิเวธ และอธิบายทฤษฎีได้ เพราะเป็นการเรียนแบบรู้จริง (จากวิชา Principle of Taxonomy)
- ผู้เรียนจะตระหนักรู้ได้เองว่า ความรู้ที่ตนไป copy ของคนอื่นมา นั้นมันถูกหรือผิด และถ้าผิด จะทำให้ถูกกันได้อย่างไร
- จะเกิดการเลียนแบบ ในกลุ่มผู้เรียนกันเอง เพื่อทำในสิ่งที่พัฒนาขึ้น Keyword คือ Development (เรียนจาก informative ไปสู่ formative และ ไปถึงขั้น Transformative Learning กันเลยทีเดียว
- เกิดการ รู้จักตนเอง (เร็วมากคือภายใน ๑ เทอมจะรู้จักตัวเอง คาดว่าจะมากถึงร้อยละ ๕๐ เลยทีเดียว) และพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว เป็นคนที่สมาร์ท แบบภาษาอังกฤษ คือ S M A R T...
- พัฒนาตัวเอง จาก "ผู้เสพ" เป็น "ผู้สร้าง" (โดยแต่ละกลุ่มจะถูกยุให้นำ "วีดีโอ" มาประกอบการ Presentation ซึ่งแรกๆ จะไปนำวีดีโอของคนอื่นมา อยู่ในขั้น copy ต่อมาจะดัดแปลง ใส่เสียงพากษ์ และขั้นสุดท้ายคือ ถ่ายทำวีดีโอกันเอง มีการพัฒนาไปเป็นขั้นๆ)
- สิ่งที่ไม่ได้สอนเลย แต่ผู้เรียนได้แน่ๆ คือ ทักษะ "How to Learn" ซึ่งผู้เรียน สามารถเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว แม้กระทั้งสิ่งไม่มีชีวิตก็เป็นครูได้ ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะ การเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือ Lifelong Learning หรือ บุคคลเรียนรู้....จากข้อนี้ ถ้าบุคคลเหล่านี้ไปทำงานในองค์กร และกระตุ้นในคนในองค์กร เกิดการเรียนรู้แบบนี้ องค์กรนั้น ก็จะเป็นองค์กรที่มีชีวิต..
- ผู้เรียนหลายคน อาจไปถึงขั้น Learning Persons
- ผู้เรียนหลายคน ติดใจ การ "Reflection"