เสียงกรู่...จากครูใหญ่


เสียงกรู่...จากครูใหญ่

สิริรัตน์ นาคิน*

หากใครเคยได้รับชมวีดีทัศน์เสียงกรู่จากครูใหญ่เรื่องนี้แล้วบอกได้เลยว่าจะต้องชื่นชมกับความพากเพียงของครูใหญ่ที่มีใจมุ่งมั่นในการพัฒนาโรงเรียน ชุมชน ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งไม่เคยร้องของบประมาณหรือสิ่งอื่นใดแต่ขอเพียงแรงกายและแรงใจที่ยังคงอยู่ที่มีพยายามอย่างเต็มที่ในการก้าวข้ามความยากลำบากที่กัดกินหัวใจและความยากลำบากของชีวิตความเป็นอยู่ในยุคที่ไม่มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์และไร้กำลังวังชาในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะลุล่วงไปได้หากไม่มีพลังจากชาวบ้าน ชุมชน และครูในโรงเรียนด้วยกันจากวีดีทัศน์เรื่องนี้สิ่งที่สอนให้เราก็คือ ถ้ามี "ผู้นำดี" ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง..อย่างนั้นเอง

ย้อนกลับมาที่บ้านเมืองของเรา ณ เวลานี้ มีผู้นำที่อยู่ในยุค คสช.ก็ดีหรือยุคที่ผ่าน ๆ มาก็ดี หากเราพิจารณาใคร่ครวญดูให้ดีแล้วจะสัมผัสได้ว่าแต่ละยุคต่างก็ให้ความสำคัญกับการศึกษามาโดยตลอดแต่ในทางกลับกันการศึกษาประเทศไทยกลับรั้งท้าย หรือไม่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา เมื่อใดที่เราจะก้าวข้ามระหว่างคำว่า "กำลัง" ไปสู่ "พัฒนาแล้ว" เสียที อาจเรียกได้ว่าต่างคนต่างรอกันมาค่อนชั่วชีวิตไม่รู้กี่ศตวรรษก็เดินถอยหลังเข้าคลองจะขึ้นก็ไม่ได้ แล้วเรามีทางออกอย่างไรในการระดมทุน กำลัง แรงกายแรงใจในการแก้ปัญหาถึงจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้กันเสียที ประเทศที่เขาเจริญแล้วบางครั้งก็ไม่ได้บริโภคทุนนิยมมากมายเท่าใดนัก แต่ในทางกลับกันคือเขาบริโภคความรู้ให้มากเข้าไว้กันมากกว่า เดิมทีประเทศไทยมีแนวโน้มที่มีการศึกษาดีอยู่เลยทีเดียวแต่เหตุใดไม่กี่ปีกลับมาก็ยิ่งนับถอยหลัง ถอยลงไปได้เลยไม่เว้นแต่ละวัน โหยหาเข้าสู่วัตถุนิยม กล้ำกลืนโอดครวญกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง โหยหาความรู้ที่เป็นเพียงผิวเผินไม่ลึกซึ้งและใส่ใจกับความรู้ที่แท้จริง หรือการศึกษาบ้านเราเป็นเพียงการศึกษาที่หยิบโหย่งขาดการเอาใจใส่อย่างจริงจังและมุ่งเน้นแต่รายได้ทางการศึกษา หรือเรียกว่า "ธุรกิจทางการศึกษา" ดีกว่าคงจะสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันมากกว่าสิ่งอื่นใด ในเวลานี้ ใครไม่เรียนต่อ โท หรือเอก ก็คือผู้ที่ไม่มีความรู้ ใครที่เรียนก็รู้แต่รู้ไม่จริง รู้ไม่ลึก รู้แบบฉาบฉวยและอวดความรู้มากกว่าคนที่ไม่ได้เรียนจึงเป็นที่น่าค้นหายิ่งนักว่า ปริญญาเอกเกลื่อนประเทศไทยแต่ทำไมประเทศไทยอยู่กับที่ไม่พัฒนา หรือว่ายิ่งเรียนยิงฉลาด (ทุนนิยม) บริโภคความรู้เป็นกำลังวังชา โหยหาสิ่งรอบตัวภายนอก ละเลยคุณค่าของการศึกษาที่แท้ไม่เท่าไหร่ และละเลยคุณค่าของความเป็นมนุษย์ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการที่อ้างไม่ขึ้น แต่ก็ต้องก้มหน้ายอมรับในความเป็นปัจเจกชนที่แตกต่างกันจากมิติด้านในจนส่งผลออกมาเป็นมิติภายนอกที่ขาดการเกื้อกูลดำรงอยู่ โดยใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งที่ต้องเกื้อกูลกันด้วยความรักและเมตตาผ่านการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเรื่องราวจากรุ่นสู่ร่น โหยหาความว่าง (สิ่งที่ขาด) มาเติมเต็ม(จนล้น)แต่ก็ไม่เพียงพอ ประเทศไทยจึงจมอยู่กับอาณาบริเวณสังคมความรู้ท่วมประเทศแต่ประชาชนเอาตัวไม่รอดเพราะบริโภคอย่างอุตลุตไร้ซึ่งอิสรภาพทางความคิดและการกระทำ ใครคิดต่างคือคนแปลกและต้องแตกแยกในที่สุด ประเทศเราจึงล่าช้าอยู่กับที่ไม่ไปถึงฝั่งกันเสียทีทำให้เราไม่ก้าวข้ามระหว่างความรู้ที่แท้กับความรู้แค่เปลือกนอก เพียงเท่านี้อาจไม่พอเพียงนักสำหรับนักวิชาการ ครู อาจารย์ นักวิจัย ใครก็ตามล้วนแล้วแต่เรียกตนเองด้วยมโนสำนึกที่แตกต่างตามค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติ ที่เราต้องการสร้างไว้เป็นเกราะกำบังให้ตัวเราเองแต่ขาดความลุ่มลึกในชื่อนั้นอย่างมีนัยที่เที่ยงแท้จริงๆ สิ่งเหล่านี้คือภาพลวงตาของการศึกษาบ้านเรา หากผู้นำดี แล้วไซร้ผู้ตามจะดีไปด้วย เพราะฉะนั้นแล้วการเป็นผู้ตามที่ดีคือ ไม่ใช่คล้อยตามทุกเรื่องหรือค้านเสียงแข็งทุกเรื่องแต่ต้องเป็นให้ได้ทั้งสองแบบในเวลาที่ถูกที่ควร พูดในเรื่องที่ควรพูด ทำในเรื่องที่ควรทำ บางเรื่องรู้ก็พูด ไม่รู้ก็ศึกษาแต่ไม่ต้องพูดทุกเรื่องก็ได้ จะได้ไม่ต้องสะเทือนถึงดวงดาวจนหมดกำลังใจสร้างงานดี ๆ เพียงแค่นี้เอง การศึกษาที่มีผู้นำที่ดี ก็จะพาประเทศไทยเดินหน้าได้อย่างไม่อายใคร (ประเทศเพื่อนบ้าน) รอวันที่เขาจะเดินก้าวข้ามผ่านเราไปทุกวัน ๆและดูทีท่าว่าเราจะตามเขาทันได้อย่างไรกัน

หากวันนี้คนในประเทศยังไม่ปรับความคิด เปลี่ยนทัศนคติและสร้างจิตสำนึกที่ดีในการเปลี่ยนแปลงตนเองก่อน ระเบียบวินัยที่เกิดจากตัวบุคคลอาจทำให้บ้านเมืองน่าอยู่ไม่ต้องออกกฏ เกณฑ์ มากมายให้น่าเบื่อหน่าย หรือเป็นเพียงโครงการแค่ชั่วข้ามคืนก็จบลงเพราะมันสั้นจริงๆ ที่ทำตามๆกันมา ไม่นานก็ส่อแววเดิมว่าไร้ระเบียบวินัย ขาดซึ่งความรับผิดชอบ ไม่สามารถดำรงตน เป็นบุคคลที่ทำตนเป็นแบบอย่างได้ จึงต้องหามาตรการดัดนิสัย (ที่ติดตัวมา) อันยากยิ่งต่อการแก้ไขแต่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นเพื่อสามารถดำรงชีวิตให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย หวังให้การศึกษาช่วยหล่อหลอมคนดีมีศีลธรรม และสร้างจิตสำนึกที่ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้ภายในชั่วอายุของการมีผู้นำที่เหมาะสมกับเวลา ในปัจจุบัน ถ้าไม่เริ่มตอนนี้และจะเริ่มตอนไหน ในเมื่อเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่การศึกษาก็ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ เห็นแล้วอดนึกถึงการศึกษาที่ดีในประเทศเพื่อนบ้านที่เขาพัฒนาแล้วเสียจริง

เราจะต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่ออะไร แต่ถ้าไม่เปรียบเทียบเลยก็ไม่เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง.... หวังเพียงวันหนึ่งผู้นำ.. "ในตัวฉัน" จะเกิดขึ้นกับทุกคน

หมายเลขบันทึก: 580914เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2014 22:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2014 22:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท