ผมนั่งอยู่บนก้อนเมฆ …
นี่คือความรู้สึกของผมขณะนั่งอยู่บนเครื่องบินเป็นครั้งแรก มุ่งหน้าจากสนามบินดอนเมืองไปยังอุดรธานีเพื่อร่วมงานแต่งของรุ่นพี่คนหนึ่ง ในช่วงเวลาหกโมงครึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมไม่คุ้นชินกับมันเอาซะเลย เพราะผมไม่ค่อยจะได้ตื่นมาสัมผัสโลกในช่วงนี้สักเท่าไหร่ จะว่าไปมันนับเป็นช่วงเวลาที่ลึกลับมากสำหรับผมเลยก็ว่าได้
บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนเร็วมาก จากบรรยากาศอึมครึมรอบๆ แสงจากดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ แทรกเข้ามาเหนือท้องฟ้า ผมนั่งรอเครื่องขึ้นอยู่และจากนั้น ณ วินาที ที่ความเร็วเพิ่มขึ้น ที่นั่งของผมเริ่มสั่นเล็กน้อย หัวใจของผมเต้นดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ของเจ้านกยักษ์ลำนี้
เจ้านกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเสียที ความตื่นเต้นที่เกิดจากแรงสั่นและเสียงดังจากเครื่องค่อยๆ ลดลง แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งนั่นคือ ภาพที่ตัวผมเองนั่งอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ ประดับฉากด้วยดวงอาทิตย์แสงอ่อน ๆ ทั้งที่ส่องผ่านเข้ามาโดยตรงและสะท้อนผ่านผืนน้ำด้านล่างมันเหมือนฉากประกอบในโดราเอมอน ตอนบุกอาณาจักรเมฆเลยทีเดียว การเดินทางบนเครื่องบินครั้งแรกของผม เริ่มต้นด้วยความสดใสจริงๆ
หลังจากนั้นไม่นานเสียงเตือนว่าเรากำลังเข้าสู่สภาพอากาศที่ไม่ปกติก็ดังขึ้น เมฆจากที่เคยเป็นก้อนขาวๆ ดูสดใสกลับเริ่มมืดมนเรากำลังอยู่ในก้อนเมฆที่กำลังผลิตฝนขึ้น เอ๊ะ! เครื่องบินมันจะตกไหมนะ คำถามเกิดขึ้นในหัวผมนับครั้งไม่ถ้วน
เวลาผ่านไปในที่สุด ก้อนเมฆดำมืดก็ผ่านพ้นไป เหลือไว้เพียงละอองก้อนเมฆบางๆ ทำให้มองเห็นพื้นโลกได้ชัดเจนมากขึ้น ภาพที่เห็นมันเหมือนกับทุกอย่างหยุดนิ่งไว้ ถ้าจะให้บอกง่ายๆ ก็คือ มันคล้ายๆ กับตอนดูบ้านจำลองในโครงการบ้านที่ตั้งบู้ทตามห้างชั้นนำเลยนั่นแหละ
ก้อนเมฆพวกนี้คงไม่ได้ถูกใครสั่งว่าต้องลอยไปทางไหนสักทางตลอด โชคชะตาต่างหากที่เป็นตัวกำหนด ก้อนเมฆเหล่านี้ลอยไปตามลมฟ้าอากาศที่ควรจะเป็น มันลอยไปได้ทุกที่ตั้งแต่กลางทะเลที่กว้างใหญ่ที่สุด ยันยอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่มีนักเดินทางเพียงไม่กี่คนนักที่ไปถึง ต่างจากพวกเราที่ถึงแม้จะไม่ได้มีใครมาสั่งเราตรงๆ แต่เราก็ดูเหมือนจะต้องเดินทางไปในทิศทางที่ใครสักคนกำหนด ใครก็ตามที่ไม่ใช่ "ตัวเรา"
"เป็นก้อนเมฆนี่มันน่าจะสนุกดีเนอะ" ผมนึกอยากลองเป็นก้อนเมฆขึ้นมาบ้างแล้วละ
เครื่องบินเริ่มร่อนลงจอด ผมมาถึงจังหวัดอุดรธานี ได้โดยปลอดภัย เป็น "ครั้งแรก" ที่น่าประทับใจมากสำหรับการนั่งเครื่องบินในครั้งนี้ แต่การเดินทางของผมยังไม่จบลง ผมยังได้พบปะกับอีกหลากหลายเหตุการณ์และความรู้สึก ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหนึ่งวันที่นี่
การเดินทางครั้งนี้ สำหรับผมมันเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก แต่มันเต็มไปด้วยภาพประทับใจต่างๆ ทั้งช่วงเวลาที่นั่งอยู่บนก้อนเมฆ ความสวยงามของหมู่เมฆทำให้ผมอยากจะนั่งจ้องมันไปอีกนานๆ ทั้งช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นขณะเจ้าสาวบอกสัญญารักกับเจ้าบ่าว ทั้งช่วงที่นั่งอยู่ในรถแล้วผมและรุ่นพี่อีกสองคนสนทนากันถึงเรื่องราวต่างๆ ทั้งความยากลำบากในการใช้ชีวิตหลังเรียนจบ ทั้งเรื่องที่แสนจะมีความสุขในอดีตที่พวกเราเคยมีโอกาสได้มีเรื่องราวร่วมกัน ภาพเหล่านี้ค่อยๆ ปะติดปะต่อกันจนกลายเป็นความทรงจำที่ชัดเจน และคงจะติดตัวผมไปอีกนาน
หลักฐานที่แสดงได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ "การเดินทาง" ก็คือ ความทรงจำที่ติดไปไม่รู้ลืมโดยที่เราไม่ต้องใช้สมาธิในการจดจำมากเท่าตอนท่องหนังสือเพื่อสอบ หลักฐานอีกอย่างคือ ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้น ผมอยากจะทิ้งตัวลงนอนหลับอีกสักหน่อย ถึงแม้ผมจะนอนมาบ้างแล้วก็ตาม แต่หลักฐานที่สำคัญที่สุด ชัดเจนที่สุดนั่นก็คือ เสียงเต้นของหัวใจที่มันดังขึ้นตลอดช่วงการเดินทางนี้
อันที่จริงผมเกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย ว่าความตื่นเต้นในการเดินทางครั้งแรกของผมเป็นยังไง วันนั้นวันที่ผมกล้าเดินออกจากบ้านเป็นครั้งแรกโดยที่ไม่บอกใคร ทั้งนั่งรถ ทั้งเดินไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นตา ผู้คนที่เราไม่รู้จัก ผมไม่รู้จักที่นั่นเลย แต่ใจผมอยู่ที่นั่นเสมอ ผมจึงเดินไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่ใจผมจะไปถึง วันที่หัวใจของผมมันเต้นดังมากกว่าความกลัวทั้งหมด ความคิด ความรู้สึกหลงไหลในการเดินทางนี้มันค่อยๆ ถูกกลืนหายไปกับสภาพแวดล้อม สังคมที่เราเป็นอยู่ มันค่อยๆ หายไป ค่อยๆ หายไป…
ขณะผมเดินออกจากสนามบินและยืนรอแท็กซี่เพื่อกลับไปเรียนที่มหาลัยอยู่นั้น ผมนึกขึ้นได้ว่า มีอยู่อย่างหนึ่งที่เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่ชัดในการเดินทางครั้งนี้ นั่นก็คือ ผมทำกล้องคู่ใจตกขณะลงจากรถที่หน้าคลินิกของรุ่นพี่ ทำให้ฟิลเตอร์ที่หน้าเลนส์แตกกระจาย ใจผมลงไปกองพร้อมกับกล้องเลย ผมจึงต้องพามันไปรักษาก่อนที่จะกลับไปเรียน ทำให้ต้องไปสายสักหน่อย และอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ผมรู้สึกได้
มันคือ "บางอย่างในตัวผม" นั่นเอง…
ผมกำลังจะกลายเป็น "ก้อนเมฆ"
ชอบมากค่ะ...