เดือนนี้ (พ.ย.57)
มีเหตุการณ์ทั้งทางธรรม และทางโลก เกิดขึ้นในชีวิตอย่างมีนัยสำคัญหลายประการ
จึงขอถอดบทเรียนไว้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ หนอ
.
.
.
เมื่อหลายปีก่อน ผมทราบมาว่า ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมนับถือ
ท่านได้อธิฐานแบบแปลกๆ ในเรื่องของกรรมดี ว่า
.. ถ้าสวรรค์มีจริง ผมไม่อยากไป จึงอธิฐานขอให้ผมตกนรกเถอะ เหตุผลก็เพราะสวรรค์ นั้นมีแต่คนดี เราไปช่วยเขาไม่ได้ แต่ในนรกนั้นมีแต่คนที่เขาทรมาน เจ็บ ปวด มีความทุกข์เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา ผมก็บอกตัวเองเสมอว่า ผมไม่ ไปหรอกสวรรค์ แต่จะขอตกนรกเพื่อเราจะได้ช่วยเหลือคนอื่นให้มาก ๆ ..
.
.
ผมใช้เวลาอยู่หลายปี พยายามทำความเข้าใจความหมายของท่าน
แต่ก็ยังเข้าไม่ถึง ยังสรุปไม่ได้
จนเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี่เอง คำอธิษฐานของท่านได้แว๊บเข้ามาอีกครั้ง
.
.
ประกอบกับในอีกด้านหนึ่งของการเดินบนเส้นทางธรรมนั้น
ก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ วัน เช่นกัน
.
เมื่อทุกอย่างพร้อม ปฏิบัติการทดลองหยั่งขาลงนรก จึงเริ่มขึ้น หนอ
.
.
.
.
.
จิตใจของมนุษย์เราถูกดึง/ลากโดยสฟิงซ์สีขาวกับสีดำ ความถูก กับความผิด
แล้วแต่ว่าเราจะไปทางไหน โดยสิ่งที่ใช้ควบคุมม้าหรือสฟิงซ์นั่นไม่ใช่สายบังเหียนหรือเชือก
แต่เป็น เจตจำนงของเรา (เจตจำนง = ความตั้งใจ, ความมุ่งหมาย, ความจงใจ, เจตนารมณ์)
พูดง่าย ๆ ว่า
1. เราใช้สติปัญญา (คือตัวอัศวิน)
2. ในการจัดการ (อัศวินติดอยู่ในรถ คือความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกูของกู กูจัดการเองได้)
3. ปัญหา (ความเป็นสฟิงก์คู่ ธรรมคู่)
4. ในชีวิต (ของสี่เหลี่ยม คือกายภาพ)
.
.
ดูท่าว่า บันทึกนี้จะยาวออกไปเรื่อย ๆ จึงขอขมวดบทเรียนธรรมเอาไว้ในตอนท้ายก่อน
และอาจต้องมีบันทึก 2 ต่อไป หนอ
.
.
พัฒนาการทางธรรม ณ ตอนนี้
เป็นการบูรณาการ ผลการฝึกปฏิบัติตามหลักสูตรครูสมาธิ
+ พรรษาที่ 16 ของหลวงตาพระมหาบัว + ขันธะวิมุตติ (ลายมือพระอาจารย์มั่น)
ซึ่งดูเหมือนว่า เพียงพอที่จะป้องกันไฟแห่งนรกได้ หนอ
.
ไม่มีความเห็น