ครั้งหนึ่งสมัยหนึ่ง มีโครงการทางการศึกษา ที่ว่าด้วยการทำโรงเรียนให้เป็นปัจจุบัน ผู้เขียนชอบคำนี้ พอมีโอกาสเปลี่ยนสายงานจากงานสำนักงานฯลงมาสู่โรงเรียน ก็เลยดื่มด่ำกับภารกิจที่ชอบสะสางและพัฒนาแหล่งเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมให้สะอาด สวยงาม ร่มรื่น น่าอยู่น่ามองอยู่ตลอดเวลา ให้มีความต่อเนื่องอยู่เสมอ
การทำโรงเรียนให้เป็นปัจจุบัน ที่เป็นนโยบายภาครัฐสมัยนั้น ลงทุนสูงมาก หนักไปในทางซ่อมสร้างอาคารเรียนและทาสี ซึ่งถ้าไม่คำนึงถึงงบประมาณมหาศาลที่ช่วยกระจายรายได้แล้ว ก็คงมองได้ถึงส่วนดี ที่ทำให้โรงเรียนสดใสมาถึงทุกวันนี้
แต่การทำโรงเรียนให้เป็นปัจจุบัน อาจไม่ต้องใช้เงินมากมายนัก โดยบุคลากรทางการศึกษา ทั้งผู้บริหาร คณะครู ลูกจ้างประจำ และนักเรียน วางแผนบริหารจัดการใช้ประโยชน์ในสิ่งที่มีอยู่ให้คุ้มค่า บำรุงรักษาและซ่อมแซมตามสมควร ยึดหลักความพอประมาณที่สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทโรงเรียน
ผู้เขียน..มองความเป็นปัจจุบันของโรงเรียน ที่แหล่งเรียนรู้ตามหลักสูตร จะต้องพร้อมใช้ปฏิบัติการ ข้อมูลป้ายนิเทศทันสมัยใหม่เสมอ รวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า ได้รับการดูแลรักษา ปรับปรุงตกแต่งให้สะอาด สบายตา สวยสดใส แต่ไม่ใช่มืดครึ้มหรืออึมครึม
เคยได้ยินบางคน ให้ความเห็น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประมาณว่า โรงเรียนเล็กๆ ภารโรงก็ไม่มี จะไปอะไรกันมากมาย บ้างก็ว่าจะปิดเทอมแล้ว ปล่อยไปก่อนเถอะ เปิดภาคเรียนค่อยว่ากันใหม่
ผู้เขียนกลับคิดว่า ช่วงเวลานี้แหละดีที่สุด ที่จะพัฒนาสิ่งแวดล้อมรอบด้าน เพื่อต้อนรับการมาเยือนของการปิดภาคเรียนที่ ๑ ลองคิดดูก็ได้ จริงอยู่..ที่ปิดภาคเรียน ไม่มีเจ้านายมานิเทศกำกับติดตามงานโครงการ ไม่มีใครในเขตพื่นที่มาตรวจเยี่ยม แต่อย่าลืมนะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุด โรงเรียนเป็นสถานที่ราชการ และครูก็เป็นข้าราชการ ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในองค์กรอย่างมีศักดิ์ศรีและจรรยาบรรณ ได้มีโอกาสพัฒนาตน พัฒนางานและครอบครัวได้ ก็เพราะมีโรงเรียน ขณะเดียวกัน ครูต้องอยู่เวรยาม ดังนั้น การทำให้โรงเรียนให้เป็นปัจจุบัน สะอาด ร่มรื่น สวยงามและปลอดภัย คนที่สัมผัสและมีความสุขได้โดยตรง..ก็คือครู
และเมื่อผู้ปกครองในชุมชน ผู้ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นลูกค้าที่ใกล้ชิด เห็นโรงเรียนของลูกหลานเขา น่าอยู่น่าเรียนน่ามองอยู่เสมอ แม้เป็นช่วงปิดเทอม ความศรัทธาโรงเรียนและบุคลากรจะตามมา เป็นที่ไว้วางใจ ผ่านไปผ่านมาเป็นหูเป็นตาให้ เป็นภูมิคุ้มกันโรงเรียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น..หากเป็นไปได้.ผู้เขียนจึงคิดว่า..ผู้บริหารระดับสูงหรือผู้นำทางการศึกษา ก็น่าจะลองเปลี่ยนแนวคิดใหม่ มีห้องเรียนกลับทางได้ ก็ควรมีการบริหารที่ปรับเปลี่ยนไปบ้าง ไม่นิเทศกำกับติดตามแบบนั่งเทียนหรือฟังแต่ลิ้วล้อรอบข้าง ปรารถนาที่จะเห็นของจริง เชิงประจักษ์ ของบุคลากรและองค์กรในสังกัด ก็ลองลงไปดูที่โรงเรียนช่วงปิดเทอม อย่าไปจับผิด แต่ไปเยี่ยมเยือนครูเวร ไปบันทึกข้อมูลเพื่อถอดบทเรียนเพื่อเป็นข้อมูลในเชิงบริหารการจัดการในปีงบประมาณต่อไป
อาจต้องทำใจบ้าง เพราะวัฒนธรรมผู้นำการเปลี่ยนแปลง ณ วันนี้ ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ จึงมีให้เห็นภาพโรงเรียนบางแห่ง..ช่วงปิดภาคเรียน เงียบเหงาวังเวงและอื่นๆอีกมากมาย...... และอาจเป็นเช่นนี้ ๒ ครั้ง ตุลาคมและเมษายน ของปีการศึกษา
สำหรับผู้เขียนแล้ว..ถือว่าการทำโรงเรียนให้เป็นปัจจุบัน เป็นมากกว่างาน ช่วยสืบสานวัฒนธรรมในองค์กร ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา และเป็นที่ที่แสวงหาความสุขได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่เป็นเหมือนวิมาน...ที่ทำงาน ก็เป็นสวรรค์บนดินที่ดีแห่งหนึ่ง..นั่นเอง
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๔ ตุลาคม ๒๕๕๗
มาชื่นชม ผอ.ต้นแบบค่ะ
ชอบใจการที่ทำให้โรงเรียนเป็นปัจจุบันครับ
มีความสุขกับการทำงานนะครับ
ตามมาให้กำลังใจครับ
อยากให้ ผอ อ่านบันทึกนี้ของคุณหมอวิจารณ์ เผื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมกับผู้ปกครองครับ