ความเกี่ยวพันธ์กับวิหารโซโซมอน จากบรรพบุรุษ
ประวัติย่อๆเกี่ยวกับนบีอิบรอฮีมจนถึงนบีสุไลมานที่สร้างวิหารแห่งหนึ่งขึ้น(Solomon Temple)
นบีตามอัลกุรอ่านกล่าวถึงจะมี 25 ท่าน ส่วนคำว่า”เราะซูลลุลลอฮิ”หมายถึงนบีที่ได้รับคัมภีร์มาเผยแผ่ต่อปวงชนในยุคนั้นๆ เท่าที่กล่าวถึงบ่อยๆจะมี 3 เล่ม คือ
1.คัมภีร์เตารอต โดยท่านนบี มูซา(ยิวและคริสต์จะเรียกว่า บัญญัติ 10 ประการ เนื้อหาคล้ายๆกับอิสลาม คือ
-นับถือพระเจ้าองค์เดียว
-ไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮุ(ไม่นับถือกราบไหว้อื่นใดนอกจากอัลลอฮุ) ฯลฯ
2.คัมภีร์อินญีล โดยท่านนบีอีซา บุตรมัรยัม(พวกคริสต์เรียกพระเยซู) มีเนื้อหาเดิมกับเตารอต คือให้เคารพภักดีแต่อัลลอฮ์องค์เดียว ไม่ตั้งภาคี แต่โดนยิวในสมัยนั้น บิดเบือน และชิงชังนบีอีซา จนถึงขั้น ให้เบาะแส ชี้บอกทางให้ทหารโรมันจับตัวไปขังเตรียมที่จะประหารโดยการตรึงไม้กางเขน (ขณะที่ถูกขังอยู่อัลลอฮ์ได้เปลี่ยนตัวนบีอีซานำขึ้นสู่ชั้นสวรรค์ทันทีโดยไม่ได้ตาย คนที่ตายโดยถูกตรึงไม้กางเขนนั้นคือตัวแทนที่อัลลอฮ์สร้างขึ้นมาแทน
3.คัมภีร์อัลกุร่าน โดยท่านนบีมุฮัมมัด ก็ยังคงเน้นอยู่ที่เคารพภักดีแต่อัลลอฮ์องค์เดียว ไม่ตั้งภาคี
นบีที่จะกล่าวถึงในตอนนี้คือ นบี อิบรอฮีม เดิมอยู่เมือง อูร์ ในดินแดนเมโสโปเตียเมีย(อิรักในปัจจุบัน) อพยบไปกับหลาน ชื่อ ลูท (นบีลูทในเวลาต่อมา) ดินแดนคานาอัน (เยรูซาเล็ม ปาเลสไตน์ปัจจุบัน) และได้แต่งงานกับนางซะเราะห์ ต่อมาทั้ง 3 คนอพยบไปอียิปต์ อยู่กินกันมานานไม่มีลูก นางซะเราะห์ก็จัดการให้นบีอิบรอฮีมแต่งงานกับนางฮายัร ได้ลูกชาย ชื่อ อิสมาอีล แปลว่าเป็นผู้ได้ยิน อยู่ต่อมานบีอิบรอฮีมได้รับโองการให้ไปดินแดนอารเบีย จุดคือที่อัลกะอะบะห์ ท่านได้อพยบนางฮายัรและอิสมาอีลไปด้วยกัน สมัยที่ท่านอยู่เมืองมักกะฮฺยังเป็นเด็กอยู่ ไม่มีน้ำ แห้งแล้ง มารดาของท่านนบีอิสมาอีลไปหาน้ำ ขึ้นบนภูเขาอัศเศาะฟาไม่มี ก็เดินมุ่งหน้าไปยังภูเขาอัลมัรวะฮฺ เดินไป วิ่งไปวิ่งมา 7 เที่ยว (เรื่องการเดินสะแอในการประกอบพิธีฮัจญ์ดั้งเดิมมาจากตั้งแต่สมัยท่านนบีอิบรอฮีม) จนสุดท้ายนางฮาญัรสิ้นหวังแล้ว ได้ยินเสียงลูกร้องไห้จึงกลับไปดู ปรากฏว่ามีน้ำพุ่งจากเท้าท่านนบีอิสมาอีล ท่านหญิงฮาญัรจึงใช้ทรายกันน้ำไม่ให้ไหล แล้วบอกว่า ซิม ซิม เลยเรียกกันว่า ซัม ซัม และท่านนบีอิบรอฮีมเป็นผู้ที่ฟื้นฟูอาคารกะอฺบะฮฺ เพราะกะอฺบะฮฺเดิมมีมาตั้งแต่สมัยมลาอิกะฮฺยังอยู่ แต่อิบรอฮีมมาฟื้นฟูและปรับปรุงให้ขึ้นสูงไป
ครั้นเมื่อท่านนบีอิสมาอีลโตเป็นหนุ่ม ท่านบีอิบรอฮีมฝันว่าได้เชือดนบีอิสมาอีล แล้วท่านนบีอิบรอฮีมได้ถามท่านนบีอิสมาอีลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านนบีอิสมาอีลยอมให้ท่านนบีอิบรอฮีมทำตามฝัน พอถึงเวลานั้นอัลลอฮ์เห็นท่านนบีอิบรอฮ๊มและท่านนบีอิสมาอีลศรัทธามั่นในพระองค์ จึงได้เปลี่ยนเอาแกะมาเชือดแทน เป็นเรื่องการทำกุรบ่านสืบเนื่องกันต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมา นบีอิบรอฮีมได้เดินทางกลับไปหานางซาเราะฮฺอีกครั้งหนึ่งที่อีบิปต์และได้อยู่กับนางจนกระทั้งถึงวัยชราโดยที่ทั้งสองไม่มีลูกด้วยกันเสียที ท่านก็ได้ดุอาอ์จากอัลลอฮ์ให้มีลูก อัลลอฮ์ก็ทรงโปรดให้นางซะเราะห์มีลูก ชื่อ นบีอิสฮาก นบีอิบรอฮีมเสียชีวิตตอนท่านมีอายุได้ 175 ปี
กลับไปที่นบีลูท ผู้เป็นหลานที่ติดตามท่านนบีอิบรอฮีมไปตลอดนั้น ได้มีโองการให้ไปชักชวนประชาชนในเมือง โซดอม ที่ประพฤติผิดโดยการที่เชายมีเพศสัมพันธ์กันกับคนเพศเดียวกัน เมืองโซดอมจึงเสื่อมทราม อัลลอฮ์ลงโทษทำลายเมืองโซดอมให้จมอยู่ใต้ทะเลสาบเดดซี(Dead sea) ในประเทศจอร์แดนปัจจุบัน
ปาเลสไตน์ปัจจุบันถูกเรียกว่า "กันอาน" หรือ "คานาอัน"(canaan) ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล เพราะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของพวกคะนาไนท์ หลังจากนั้น เมื่อชนเผ่าฟิลิสตินอพยพกันเข้ามายึดครอง ดินแดนนี้จึงถูกเรียกว่าปาเลสไตน์ไม่ได้นับถืออิสลาม
เมื่อนบีอิบรอฮีมกลับมาอยู่ที่คานาอันอีก รู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังใกล้วันสิ้นสุดเข้ามาทุกที เขาอยากที่จะเห็นอิสฮากผู้เป็นลูกชายได้แต่งงาน เขาไม่ต้องการให้อิสฮาก แต่งงานกับหญิงชาวคะนาอัน ที่เคารพบูชารูปปั้น ดังนั้น เขาจึงได้ส่งคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งไปยังฮารานในอิรักเพื่อเลือกเจ้าสาวให้อิสฮาก ปรากฏว่าคนรับใช้ได้ไปเลือก ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อรีเบคาห์ บินติ เบซูเอล อิบนุนาฮอร์ ที่เป็นพี่น้องคนหนึ่งของนบีอิบรอฮีม อิสฮากได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้และนางได้ให้กำเนิดแฝดคู่หนึ่งคือ อัลอีซ และยะกู๊บ
นบียะกู๊บเป็นลูกของนบีอิสฮากเป็นหลานนบีอิบรอฮีม ยะกู๊บเป็นนบีคนหนึ่ง ท่านมีฉายานามว่า อิสรออีล ซึ่งมีความหมายว่า บ่าวของอัลลอฮ เขาได้สร้างวิหารแห่งหนึ่งเพื่ออัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ นอกจากนี้แล้วเขายังได้สาบานที่จะให้ทรัพย์สินหนึ่งในสิบของเขาเพื่ออัลลอฮฺ เขาเทน้ำมันลงบนก้อนหินเพื่อเป็นสัญลักษณ์และเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า “เบเธล” (บ้านของอัยล์ส) ซึ่งหมายถึง “บ้านของอัลลอฮฺ” ต่อมาสถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองเยรูซาเล็ม นบียะกู๊บมีลูก 12 คน
นบียูซุฟเป็นลูกชายคนหนึ่งของนบียะกู๊บ พวกพี่ๆของนบียูซุฟไม่ชอบนบียุซุฟก็พยายามที่จะกำจัดยูซุฟ โดยหลอกให้พ่อ(นบียะกู๊บ)อนุญาตให้ยูซุฟติดตามพวกตนไปเที่ยวป่า ครั้นมายังบ่อน้ำแห่งหนึ่ง และทุกคนก็ได้ร่วมกันจับยูซุฟโยนลงไปในบ่อน้ำ ได้มีกองคาราวนขบวนหนึ่งผ่านมาและแวะพักใกล้บ่อน้ำเพื่อตักน้ำขึ้นมาดื่มและนำไปเป็นเสบียง ผู้คนในกองคารวานจึงช่วยกันนำตัวยูซุฟขึ้นมาจากบ่อและนำตัวเขาไปขายให้กษัตริย์ในอียิปต์ในราคาไม่มากนัก ยูซุฟก็เติบโตเป็นชายฟนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตางดงามจนเป็นที่หลงใหลของนางสุไลคอภรรยาของกษัตริย์ที่ซื้อเขามาเลี้ยง นางจึงหาทางยั่วยวนชวนให้ยูซุฟมีความสัมพันธ์กับนาง ยูซุฟจึงได้กล่าวว่า ขออัลลอฮทรงคุ้มครองฉันจากสิ่งนี้ด้วยเถิด โอ้พระอภิบาลของฉันพระองค์ได้ทรงให้ที่พำนักที่ดีแก่ฉันแล้ว
กษัตริย์ก็ได้บอกนบียูซุฟว่านับแต่นี้เป็นตันไป เจ้ารับแต่งตั้งให้เป็นคนสนิทของเรา และเราจะมอบความไว้วางใจให้เจ้าดูแลแผ่นดินของเราอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองที่อัลลอฮ์ได้ทรงทำให้นบียูซุฟมีอำนาจในแผ่นดิน ท่านมีสิทธิ์ทุกอย่างเต็มที่ที่จะเป็นเจ้าของสิ่งใดก็ได้ที่ท่านต้องการในแผ่นดินอียิปต์ หลังจากนั้นครอบครัวของนบียะกู๊บทั้งหมดก็ออกเดินทางจากดินแดนคะนาอันสู่อียิปต์เพือไปพบนบียูซุฟ
ประวัติศาสตร์บอกไว้เพียงว่า นบียะกุ๊บและภรรยา(พ่อแม่นบียูซุฟ)อพยบไปหานบียูซุฟที่อิยิปต์แล้วกลับไปคะนาอันอีกหรือไม่ ดูจากเหตุการณ์นบียูซุฟอยู่ปกครองดินแดนอิยิปต์ นบียะกู๊บก็น่าจะอยู่ที่อิยิปต์ต่อไป
นบีชุอัยบฺเป็นนบีที่สืบเชื้อสายจากท่านนบีอิบรอฮีม
ชาวอัยกะฮ์ เป็นลูกหลานของ มัดยัน ชาวมัดยันคือชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในดินแดนมะอานซึ่งส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งนี้ปัจจุบันคือซีเรีย ชาวมัดยันเป็นคนโลภที่ไม่เชื่อว่าอัลลอฮฺทรงมีอยู่ จึงใช้ชีวิตอยู่อย่างชั่วช้าเลวทราม คนพวกนี้โกงตาชั่ง โฆษณาสินค้าของตัวเองเกินความจริงและปกปิดข้อบกพร่องในสินค้าของตัวเอง นอกจากนี้ยังโกหกลูกค้าของตนด้วย
อัลลอฮฺได้ส่งนบีชุอัยบฺมาพร้อมกับปาฏิหาริย์หลายอย่าง นบีชุอัยได้สอนพวกเขาและขอให้พวกเขานึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺและเตือนพวกเขาให้นึกถึงผลที่จะติดตามมาจากหนทางที่เลวทรามของพวกเขา แต่พวกเขากับหัวเราะเยาะชุอัยบฺยังคงนิ่งสงบและในขณะที่เขาเตือนคนเหล่านั้นว่าเขาเป็นญาติพี่น้องของพวกเขาและสิ่งที่เขาทำไปนั้นมิใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล
แต่พวกเขาได้ยึดทรัพย์สินของชุอัยบฺและผู้ปฏิบัติตามท่าน หลังจากนั้นก็ขับไล่พวกเขาออกจากเมือง ชุอัยบฺจึงวิงวอนขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮฺ และคำวิงวอนของเขาก็ได้รับการตอบสนอง กล่าวคือ อัลลอฮฺได้ทรงทำให้อากาศร้อนระอุซึ่งทำให้พวกเขาได้รับความเดือดร้อน และเมื่อเมฆรวมตัวกันบนท้องฟ้า พวกเขาก็คิดว่าเมฆนั้นจะนำความเย็นและฝนที่ชุ่มฉ่ำมา ดังนั้น พวกเขาจึงวิ่งออกไปข้างนอกด้วยความหวังว่าจะได้สนุกสนานกับน้ำฝน แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมฆได้ระเบิดออกซึ่งทำให้แผ่นดินใต้เท้าของพวกเขาสั่นสะเทือนและพวกคนชั่วได้ถูกคร่าชีวิตในสภาพที่กำลังหวาดกลัว
โองการของอัลลอฮ์กล่าวไว้ว่า " และยังกลุ่มชนของมัดยัน เราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งจากพวกเขาคือ ชุอัยบ์ เขากล่าวว่า "โอ้กลุ่มชนของฉัน พวกเจ้าจงเคารพภักดีต่ออัลเลาะฮ์เถิด พวกเจ้านั้นไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์ และพวกเจ้าอย่าได้กระทำการตวงและชั่งบกพร่องเลย แท้จริงฉันเห็นพวกเจ้ายังอยู่ในความดี และจริงฉันกลัวแทนพวกเจ้าต่อการลงโทษในวันที่ถูกห้อมล้อมไว้ (วันสิ้นโลก)"
ปัจจุบันหลุมฝังศพท่านนบีชุอัยบอยู่ที่ประเทศจอร์แดน
ท่านนบีมูซาและนบีฮารูน(ผู้เป็นพี่ชายนบีมูซาต่างมารดา) เป็นบุตรของอิมรอน สืบเชื้อสายมาจากลูกหลานของท่านนบีอิบรอฮีม พลเมืองของอียิปต์ในสมัยนั้นมี 2 พวก คือ ชาวอียิปต์ดั้งเดิม ที่เรียกว่า ชาวกิบฏี (Copt) กับชาวอิสรออีล (ยิว) ซึ่งเป็นลูกหลาน ของท่านนะบียะอฺกู๊บ เมืองในอิยิปต์ส่วนใหญ่เป็นเมืองขึ้นของฟิรอูน(ฟาโรห์) หมอดูทำนายให้ฟิรอูนรู้ว่าจะมีผู้เกิดมาจากเผ่า บะนีอิสรออีล เป็นผู้โค่นล้มบัลลังก์ ฟิรอูนจึงสั่งให้ฆ่าเด็กชายที่เกิดมาให้หมด ขณะนั้น มีหญิงชาวบะนีอิสรออีลคนหนึ่งได้ให้กำเนิดบุตรชาย มีนามว่า มูซา ด้วยความเกรงกลัวว่าบุตรชายของตนจะถูกฆ่าโดยคำสั่งของฟิรฺเอานฺ นางจึงคิดหาหนทางที่จะปกป้องบุตรชายให้พ้นภัย แต่ก็ไม่อาจหาวิธีการใดได้ จนในที่สุดอัลลอฮฺทรงดลใจให้นำเด็กน้อยใส่ลงไปในหีบแล้วนำไปลอยที่แม่น้ำไนล์ ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ หีบที่บรรจุเด็กน้อยมูซานั้นได้ลอยเข้าไปติดในเขตพระราชฐานของฟิรฺเอานฺ พระราชินีของฟิรฺเอานฺพบเข้าเกิดรักและเอ็นดู จึงรับเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม
วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งเดินทางมาจากชานเมือง ได้มาบอกให้นบีมูซาระวังตัว เพราะพวกฟิรฺอูนฺจะส่งคนมาฆ่า ด้วยความ กลัวท่านจึงได้หนีออกจากอียิปต์เดินทางรอนแรมไปในทะเลทราย จนมาถึงเมืองมัดยัน(อยู่ในซีเรียปัจจุบัน) ณ ที่นี้ท่านได้พบกับชนกลุ่มหนึ่งที่บ่อน้ำ ซึ่งกำลังตักน้ำให้สัตว์ดื่ม และในกลุ่มชนนั้นท่านได้พบหญิงสาว 2 คนกำลังรั้งสัตว์อยู่ ท่านจึงรู้ว่านางทั้งสองไม่สามารถที่จะแหวก ฝูงชนเข้าไปตักน้ำนั้นได้ และจะต้องรอให้ผู้คนเหล่านั้นออกไปเสียก่อน ท่านจึงเข้าไปช่วยตักน้ำให้แก่ฝูงแพะของนางแล้วนั่ง พักอยู่ใต้ร่มไม้โดยยังไม่รู้ว่าจะเดินทางต่อไปยังที่แห่งใด ต่อมาหญิงสาวหนึ่งในสองคนนั้นได้เข้ามาหาท่าน และบอกว่าบิดาของนางต้องการพบ เมื่อท่านนะบีมูซา ได้มาพบบิดาของนางและได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง บิดาของหญิงสาวทั้งสอง ซึ่งมีนามว่า ชุอัยบฺ จึงได้ปลอบใจท่านและเสนอให้ท่านแต่งงาน กับลูกสาวของตนคนใดคนหนึ่ง โดยได้มีเงื่อนไขว่าท่านจะต้องรับจ้างเลี้ยงแพะเป็นเวลา 8 ปี ท่านนะบีมูซา อะลัยฮิสสลามได้เสนอตัวว่าจะอยู่ให้ถึง 10 ปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นความเอื้อเฟื้อของท่าน ต่อมาท่านนะบีมูซา ต้องการกลับไปเยี่ยมมารดาจึงเดินทางพร้อมครอบครัวมุ่ง สู่ประเทศอียิปต์ เมื่อเดินทางมาถึงภูเขาฏูรในทะเลทรายซีนาย ณ ที่นี้เองท่านนะบีมูซา ได้รับวะฮีย์จากอัลลอฮฺแต่งตั้ง ให้เป็นร่อซูล และได้รับมุอฺญิซะฮฺ 2 ประการ คือ ไม้เท้าซึ่งขว้างลงไปจะกลายเป็นงู และมือมีแสงเป็นประกายเมื่อเอาออกจากสีข้าง ในขณะเดียวกันอัลลอฮฺได้ทรงแต่งตั้งฮารูนซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของท่านนะบีมูซา เป็นผู้ช่วยของท่าน แล้วอัลลอฮฺได้ทรงบัญชาให้ท่านทั้งสองไปประกาศศาสนาแก่ฟิรฺอูน และให้ปลดปล่อยชาวอิสรออีลให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงของฟิรฺอูน ในที่สุด วันหนึ่งท่านนบีมูซา ได้พาชาวอิสรออีลอพยพจากอียิปต์มุ่งสู่ทางทะเลทรายซีนาย ฝ่ายฟิรฺอูน เมื่อทราบว่าชาวอิสรออีลภายใต้การนำของท่านนะบีมูซา ได้อพยพออกไปแล้ว ก็นำกองทหารจำนวนมาก ติดตามไป เมื่อขบวนอพยพของท่านนะบีมูซา เดินทางไปถึงทะเลก็ไม่มีทางหนีต่อไปอีก และกองทัพฟิรฺอูนได้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ท่านนะบีมูซา ซึ่งได้รับการดลใจจากอัลลอฮฺจึงฟาดไม้เท้าลงในทะเล และด้วยเดชานุภาพของพระองค์น้ำทะเลได้แยกออกเป็นทางเดิน เมื่อท่าน นบีมูซา นำผู้ติดตามเดินข้ามท้องทะเลและขึ้นฝั่งไปหมดแล้ว น้ำทะเลที่แยกเป็นทางเดินอยู่ก็พลันกลับคืน สภาพเดิมฟิรฺอูนและกองทัพของเขาที่ติดตามมาก็จมน้ำตาย
ฟาโรห์ได้ร้องออกมาว่า ฉันศรัทธาแล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าที่พวกลูกหลายของอิสรออีลศรัทธาและฉันขอเป็นผู้หนึ่งที่ยอมจำนน แต่อัลลอฮได้ทรงกล่าวว่า ตอนนี้กระนั้นหรือที่สูเจ้าศรัทธาในขณะที่ก่อนหน้านี้สูเจ้าเป็นฝ่าฝืนและเป็นผู้อยู่ในหมู่ผู้ก่อการเสียหาย เราจะรักษาร่างของเจ้าไว้เพียงเพื่อเป็นสัญญาณเตือนสำหรับชนรุ่นหลัง ท่านนบีมูซา ก็ได้นำผู้คนของเขาเดินทางต่อไป ต่อมาได้ไปยังสถานที่ที่เคยได้รับวะฮีย์ครั้งแรกคือที่ภูเขาซีนาย ในครั้งนี้อัลลอฮฺได้ประทาน คำสอน ซึ่งเป็นบัญญัติสำหรับผู้ศรัทธาในพระองค์ คำสอนนี้เรียกว่า “เตารอฮฺ” หรือบัญญัติ 10 ประการ ในขณะที่ท่านนบีมูซา อยู่ที่ภูเขาซีนายอยู่นั้น ผู้ติดตามที่รออยู่ ซึ่งท่านได้มอบให้ท่านนบีฮารูณ เป็นผู้ดูแล ได้ร่วมกันสร้างรูปวัวทองคำเป็นที่เคารพทั้ง ๆ ที่ท่านนะบีฮารูนได้ห้ามปรามไว้แล้ว เมื่อท่านนบีมูซา ลงมาจากภูเขาพร้อมพระบัญญัติ ท่านจึงพบว่าผู้ติดตามของท่าน กำลังทำพิธีเคารพรูปวัวทองคำ ท่านโกรธมากและได้ลงโทษบุคคลที่ไม่ยอมกลับตัวสู่หนทางของอัลลอฮฺและได้ทำลานรูปปั้นวัวทองคำทิ้งเสีย หลังจากนั้นท่านได้พาผู้ที่ศรัทธาต่อท่านเดินทางต่อไปมุ่งสู่ “ดินแดนของนบีอิบริฮีม คือ คะนะอัน(ฟิลิตีน)พร้อมกับแผ่นหินสองแผ่นที่จารึกคัมภีร์เตารอต ซึ่งบรรจุไว้ในหีบทองคำ นบีมูซาเดินทางมาถึงดินแดนคะนาอัน ชาวอิสรออีลเหล่านั้นแสดงความดื้อรั้นออกมาอีกโดยไม่ยอมเข้าไปในเมือง เพราะในเมืองนั้นมีประชากรอยู่แล้ว และเป็นประชากรที่เข้มแข็ง แข็งแรง(พวกฟิลิสตีน) พวกเขาให้ท่านนบีมูซา เข้าไปตามลำพังเพื่อไปกำจัดชาวเมืองที่อยู่เดิมก่อน เมื่อกำจัดเสร็จแล้วพวกเขาจึง จะเข้าไป ด้วยความดื้อรั้นของชาวอิสรออีลดังกล่าว อัลลอฮฺจึงทรงลงโทษพวกเขาด้วยการให้หลงอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี ขณะที่เร่ร่อนอยู่นั้นพวกหัวดื้อรั้นได้ตายเป็นจำนวนมาก พวกที่เหลือก็คือลูกหลานของคนรุ่นนั้น คนรุ่นใหม่นี้มีทั้งดีที่ทำตามคำสั่งของท่านนะบีมูซา นบีมูซามีอายุราว 120 ปี และมีทั้งหัวดื้อรั้น สืบทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขา พวกนี้ได้เร่ร่อนไปยังที่ต่าง ๆ แต่ก็ถูกขับออกจากเมืองแล้วเมืองเล่า
นบีดาวูด หลังจากสมัยของนบีมูซาแล้ว พวกอิสรออีลต้องเดินทางระหกระเหินและไม่สามารถรวมตัวเป็นชาติทีเข้มแข็งได้ ดังนั้น ชาวอิสรออีลจึงต้องถูกชาวเมืองอื่นรุกรานและกดขี่ข่มเหงมาตลอด อัลลอฮกำลังจะทดสอบพวกอิสรออีลด้วยลำน้ำสายหนึ่ง ใครก็ตามที่ดื่มน้ำจากลำน้ำสายนี้ ชายคนนั้นก็ไม่ใช้พวกของฉัน ถึงแม้จะบอกว่านั้นเป็นการทดสอบจากอัลลอฮ แต่พวกอิสรออีลส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อและไม่หยุดดื่มน้ำกัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อฟังฏอลูตและไม่ได้ดื่มน้ำ ดังนั้น ฏอลูตจึงได้คัดเอาคนที่เชื่อฟังร่วมทางไปกับเขา แต่ผู้ศรัทธาในอัลลอฮจำนวนหนึ่งได้กล่าวว่า มีบ่อยไปที่คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมากได้ด้วยอำนาจของอัลลอฮ เพราะอัลลอฮจะทรงอยู่กับผู้อดทน เมื่อกองทัพของฏอลูตเผชิญหน้ากับกองทัพชาวฟิลิสติน ซึ่งนำโดยญาลูต(โกไลแอธ) ดาวูดก็สามารถสังหารญาลูตได้ในที่สุด ดาวูดจึงได้กลายเป็นวีรบุรุษของชาวอิสรออีล ฏอลูตได้ยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขาและหลังจากที่ฏอลูตเสียชีวิตแล้ว นบีดาวูดมีลูกชายคนหนึ่งชื่อสุลัยมาน
นบีสุไลมาน หลังจากนั้นนบีดาวูดได้เสียชีวิตแล้ว นบีสุลัยมาน ลูกของท่านก็ได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจการปกครองชาวอิสรออีสต่อ ดังนั้นนบีสุลัยมานจึงเป็นทั้งนบีและกษัตริย์ นอกจากนั้นแล้วนบีสุลัยมานยังได้รับความรู้ความสามารถพิเศษบางอย่างจากอัลลอฮ เช่น การรู้จักภาษาของสัตว์ต่างๆ และเนื่องจากกองทัพของนบีสุลัยมานมีทั้งมนุษย์และญิน และนกร่วมอยู่ด้วย วันหนึ่ง ขณะที่นบีสุลัยมานสำรวจกองทหารของท่านอยู่นั้น ท่านพบว่านกของท่านตัวหนึ่งได้หายไป ฮุดฮุด หายไปไหน ท่านถามหา และได้กล่าวว่าถ้ามันกลับมา ฉันลงโทษมันให้หนักทีเดียว หรือไม่ก็เชือดมันถ้ามันไม่มีข้อแก้ตัวที่มีเหตุผลมาให้ฉัน หลังจากนั้น ไม่นานนัก นกฮุดฮุดก็กลับมาหานบีสุลัยมานและกล่าวแก่ท่านว่า ฉันนำข่าวจากเมืองสะบาอ์ ซึ่งท่านยังไม่ทราบ มาแจ้งให้ท่าน ข่าวอะไร
ฉันพบราชินีคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองผู้คน ฉันเห็นผู้คนของนางสักการะบูชาอาทิตย์แทนอัลลอฮ ฉันจะดูว่าพูดจริงหรือโกหก เจ้าจงเอาจดมหายของฉันไปหย่อนลงให้นาง แล้วดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไร และเมื่อถึงมันได้หย่อนจดหมายลงต่อหน้าราชินีบิลกิสขณะที่นางกำลังเดินไปทำพิธีสักการะบูชาดวงอาทิตย์ เมื่อได้รับจดหมาย นางจึงเรียกเสนาบดีทั้งหลายมาประชุมเรื่องจดหมายดังกล่าว เตือนฉันมิให้หยิ่งผยองต่อเขาและให้ฉันไปหาเขาอย่างผู้นอบน้อมจำนน ฉันขอปรึกษาพวกท่านว่าจะทำอย่างไรดีกับเรืองนี้ พวกเสนาบดีก็กล่าวว่า เมือพวกกษัตริย์สุไลมานยกทัพไปยังเมืองใด พวกเขาก็จะทำลายเมืองนั้นและโค่นอำนาจของผู้ปกครองเมืองลง หลังจากนั้น ราชินีบิลกิสก็ส่งทูตคณะหนึ่งพร้อมกับของกำนัลไปเข้าเยี่ยมนบีสุลัยมานที่เมืองเยรูซาเล็ม พวกท่านต้องการจะจ่ายฉันด้วยทรัพย์สินกระนั้นหรือ สิ่งที่อัลลอฮ์ประทานแก่ฉันนั้นมากมายกว่าที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกท่านเสียอีก และเราจะขับไล่พวกเขาออกไปจากที่นั่น เมื่อพวกทูตกลับไปแล้ว นบีสุลัยมานได้กล่าวแก่เสนาบดีของท่านว่า เสนาบดีทั้งหลาย มีใครบ้างในหมู่พวกท่านที่สามารถนำบัลลังก์ของนางมาก่อนที่พวกเขาจะมาหาฉันอย่างผู้นอบน้อยยอมจำนน นี่เพราะความโปรดปรานจากพระองค์อภิบาลของฉัน ทั้งนี้เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบฉันว่าเป็นผู้เนรคุณ พวกเจ้าจงจัดบัลลังก์ของนางไว้พอเป็นพิธี เราจะดูว่าเมือนางมาถึงแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ราชินีบิลกิสก็เดินทางมาถึงเมืองเยรูซาเล็มและเข้าพบนบีสุลัยมาน เมือเข้ามายังท้องพระโรง นางก็กล่าวว่า เรารุ้เรืองนี้แล้วว่าเป็นเดชานุภาพของอัลลอฮและเราก็ยอมเป็นมุสลิมแล้วด้วย นบีสุลัยมานเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการนมาซ(การแสดงความเคารพสักการะอัลลอฮ)เป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่ง ท่านเพลิดเพลินอยู่กับการดูแลม้าตัวงามอยู่จนกระทั้งลืมการนมาซ
ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต นบีสุลัยมานได้สร้างวิหารเพื่อไว้ทำการสักการะบูชาอัลลอฮ์ โดยท่านได้ใช้ให้ญินที่มาความสามารกทางด้านก่อสร้างเป็นผู้ก่อสร้าง นบีสุลัยมานได้เสียชีวิตโดยที่ยังถือไม้เท้าค้ำตัวอยู่และไม่มีใครรู้ว่าท่านได้เสียชีวิตจนกระทั่งมัสญิดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างของท่านก็ล้มลง ทั้งผู้คนและญินจึงได้รู้ว่าท่านเสียชีวิต
อาณาจักรของนบีสุไลมานเคยมีกองทหารที่เข้มแข็ง หลังจากยุคนบีสุไลมาน บ้านเมืองก็เริ่มเสื่อม อัลลอฮ์ไม่ได้ส่งนบีมาที่พวกบะนีอิสรออีลอีกเลย จนกระทั่งมาถึงยุคนบีอีซา อัลลอฮ์ส่งนบีอีซามาเพื่อย้ำเตือนเรื่องการเคารพบูชาพระเจ้าองค์เดียว แต่พวกยิวไม่ยอมรับนบีอีซา บิดเบือนคำสั่งสอนและทรยศ โดยให้ทหารโรมันมาจับไปขังและรอประหารชีวิตและต่อมาอีกประมาณ 5-600ปี อัลลอฮ์ได้ส่งนบีมุฮัมมัดมาให้แก่พวกญาฮิลิยะห์ในมักกะห์ และให้ชี้นำพวกยิวและคริสต์ให้หันกลับมาเคารพบูชาอัลลอฮ์องค์เดียว คำว่า”ยิว” มาจากคำว่า “ยะฮูดี” ยิวอพยบไปอยู่หลายแห่ง เช่นที่เอธิโอเปีย อบิสเนีย(เยเมน) ชาม(ซีเรีย) ในยุโรปหลายประเทศ ถูกกวาดต้อนไปตั้งแต่สมัยโรมัน สมัยไบเซนไทน์ และติดตามกองทัพออตโตมันไปทำการค้าด้วย พวกมุสลิมก็ไม่ได้ทำร้าย กดขี่พวกยิวที่ติดตามไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ
หลังจากยุคนบีสุไลมานพวกอิรออีลก็อ่อนแอเสื่อมโทรมลงและถูกรุกรานจากศัตรูใกล้เคียง หนีกระจัดกระจายอพยบถิ่นฐานไปตามที่ต่างๆ ดินแดนที่เคยเป็นอาณาจักรอันรุ่งเรืองก็ล่มสลาย ถูกครอบครองจากชนเผ่าอื่นต่อไป เช่น
พวกฟิลิสติน (Philistine) ซึ่งอพยพจากเกาะครีต (Crete) เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบชายทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปาเลสไตน์
ฮิตไตท์จากทางเหนือ ฮิตไทต์ (Hittites) ฮิตไทต์เป็นชนโบราณที่พูดภาษาตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน และก่อตั้งอาณาจักรที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ฮัตทูซา (Hattusa) ทางตอนเหนือของตุรกีตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสต์ศักราช
อัสซีเรียเก่าระหว่างศตวรรษที่ 20 ถึง 15 ก่อนคริสต์ศักราชอัสเซอร์มีอำนาจในบริเวณส่วนใหญ่ของเมโสโปเตเมียเหนือ ในยุคกลางของอัสซีเรียระหว่างศตวรรษที่ 15 ถึง 10 ก่อนคริสต์ศักราช
พวกจักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล)
เมื่อ 539 ปีก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ถูกกองทัพเปอร์เซียโดยการนำของ พระเจ้าไซรัสมหาราช (Cyrus the Great, 559-530 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เข้ายึดครองและผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซียที่เรืองอำนาจอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันตก จึงนับได้ว่าประวัติศาสตร์ของดินแดนแถบเมโสโปเตเมียในยุคโบราณได้สิ้นสุดลงไปด้วย
ชนเผ่าที่เคยอยู่แถบเมโสโปเตเมียหรือบาบิโลนยุคเก่าแก่มากคือ สุเมเรียนเป็นชนชาติใดไม่มีหลักฐานที่ระบุชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชชาวสุเมเรียนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่านและเข้ามาตั้งถิ่นฐานตรงบริเวณดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) ปากแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส ซึ่งในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า ดินแดนซูเมอร์ (Sumer) ปัจจุบันคือดินแดนทางตอนใต้ของกรุงแบกแดดลงมาถึงอ่าวเปอร์เซีย หลังจากที่พวกสุเมเรียนเสื่อมอำนาจลงเพราะการทำสงครามกับชนเผ่าอื่นๆที่เข้ามารุกรานและแย่งชิงความเป็นใหญ่ในระหว่างพวกสุเมเรียนด้วยกันเอง ต่อมาพวกอามอไรต์ (Amorite) ได้ตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia Kingdoms) ขึ้นมา มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองบาบิโลน ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรทีส อาณาจักรบาบิโลเนียเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็ง มีการปกครองแบบรวมศูนย์ (Centralization) มีการเก็บภาษีอากรและการเกณฑ์ทหาร รัฐควบคุมการค้าต่างๆ อย่างใกล้ชิด ผลงานที่สำคัญของอาณาจักรบาบิโลเนีย ได้แก่ การประมวลกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ในสมัยพระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi, 1792-1745 ปี ก่อนคริสต์ศักราช)
ชาวฟินิเชียนซึ่งมีความเจริญทางอารยธรรมโบราณจนมาล่มสลายลงในปี 1,200 ก่อนคริสตกาล