๒/๐๙/๒๕๕๗
*************
มาบำเพ็ญทานอุปบารมีด้วยการบริจาคเลือดกันเถอะ
ทางพุทธศาสนากล่าวถึงบารมีทานไว้ ๓ ขั้น คือ
๑. บารมี ระดับสามัญ เช่น ทานบารมี ได้แก่ ให้ทรัพย์สินเงินทอง สมบัตินอกกาย หรือปัจจัย ๔ ข้าว ผ้า ยา บ้าน
๒. อุปบารมี ระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เช่น ทานอุปบารมี ได้แก่ การเสียสละอวัยวะเป็นทาน การบริจาคเลือดก็จัดอยู่ในทานหมวดนี้
๓. ปรมัตถบารมี ระดับสูงสุด เช่น ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือการสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมะ บุญสูงสุดครับ
เมื่อวานนี้ผมได้ขับรถของพี่สาวไปส่งแม่ตัวไปหาหมอที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ หมอนัดให้ไปตรวจภายในเพราะปัสสาวะเป็นเลือด ไปคอยอำนวยความสะดวกถือกระเป๋าให้ ส่งไปแผนกนั้นแผนกนี้ เฝ้าอยู่ตึกผ่าตัด(จนนั่งหลับ) คอยซื้อข้าวมาให้ จนถึงเที่ยงยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี พยาบาลนัดพบหมอตอนบ่ายอีกรอบ
ผมบอกให้แม่รอหน้าห้องหมอที่นัดตรวจไปก่อน ตนเองถือโอกาสช่วงพักเที่ยง ได้เดินไปที่ตึกอุบัติเหตุหลังใหม่ขึ้นลิฟท์ไปชั้น ๔ เพื่อบริจาคเลือด พอมาถึงห้องบริจาคเห็นไฟปิด มีป้ายประกาศบอกว่าพักเที่ยง ซึ่งเมื่อตอนถามพยาบาลที่ตรวจคัดกรองแม่บอกว่า “เขาไม่พักเที่ยงหรอกค่ะ” ก็เลยต้องเขียนใบสมัครบริจาครอไปก่อน จะลงไปหาอะไรกินข้างล่างก็กลัวจะเสียคิว
ขณะนั้นมีผู้บริจาคมากันประมาณ ๑๐ คนเห็นจะได้มีทหารมา ๒ นายด้วย ท.ทหารนายหนึ่งทนไม่ไหวจึงถือโอกาสนี้หลับรอเสียเลย ผมก็เดินไปเดินมา สักพักก็มานั่งรอที่ริมหน้าต่าง มองลงไปด้านล่างตึก เห็นถนนหน้าโรงพยาบาลมีรถติดเกิดจากการชนกันอยู่ ๓ คัน กำลังเคลียร์กันอยู่
พอถึงเวลาก็รีบเข้าห้องยื่นเอกสาร พร้อมบัตรสีชมพูของการบริจาคเลือดให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม น้องเขาบอกพี่ผู้หญิงลาหยุดไปหนึ่งคน จึงอาจช้าสักหน่อย ผู้หญิงคนหนึ่งครั้งแรกที่ผมเห็นมารอก่อนหน้านี้ลักษณะท้วมเตี้ย แข็งแรง ตรวจเจาะเลือดไม่ผ่าน เลือดลอย เธอก็ยังสงสัยอยู่ว่า เลือดตนเองทำไมถึงลอย น้องเจ้าหน้าที่บอก “ยังบริจาคไม่ได้นะครับ” เธอยิ้ม ๆ แล้วก็ออกจากห้องไป ถึงคิวผมทีสองบ้าง ตรวจวัดความดัน เจาะเลือดหยดใส่ขวดน้ำยาสีน้ำเงินอ่อน ผ่าน และรับถาดถุงยางเข้าไปรอเจาะเลือดด้านใน รอสักพักก็มีผู้ชายอายุประมาณ ๖๐ ต้น ๆ สองคนมาช่วยแทงเข็มที่ติดกับถุงยางก็ผ่านพ้นไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร
มีชายคนหนึ่งที่มาบริจาคด้วยอยู่ใกล้ ๆ กันกับผมพูดว่า “เขาน่าจะมีเจ้าหน้าที่หลาย ๆ คนนะ งานแบบนี้...ท้องถิ่นที่ทำงานผม เดินกันให้ขวั้กไปหมด...แบ่งมาที่นี่ได้น่าจะดีนะ” ผมได้แต่ยิ้ม ๆ เขาถามลักษณะคุยกับคนที่มาช่วยแทงเข็มว่า “บริจาคเลือดแล้วได้อะไรครับ?” เจ้าหน้าที่ตอบทีเล่นทีจริงว่า “ได้ความสบายใจสุขใจไงครับ” เขาพูดต่อว่า “ผมพาลูกชายมารอจนหลับไปแล้วอยู่โซฟาด้านนอกน่ะครับ...คิดว่าตอนพักเที่ยงยังทำงานเหมือนเมื่อก่อน...กลัวเขาจะว่าเอาเวลางานมาใช้ส่วนตัวน่ะครับ” เจ้าหน้าที่บอก “วันเสาร์อาทิตย์ก็รับนะครับ...แต่ตอนนี้เขาให้พักเที่ยงแล้วครับ”
ตนเองก็ไม่ได้คุยอะไร ได้แต่หลับตาเบา ๆ มือที่กำลูกยางบีบแล้วก็ปล่อย ๆ เป็นระยะ ๆ นึกอธิษฐานในใจว่า “ขอบุญกุศลของการบริจาคเลือดในครั้งนี้ จงเป็นบุญหนุนไปให้พ่อผู้ล่วงลับและแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ และญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตไปแล้วได้รับอานิสงส์ด้วยกัน และการบริจาคนี้จงเป็นบุญหนุนให้ตนเองเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลข้างหน้านี้ด้วยเถิด” ...ทุกครั้งที่ผมบริจาคเลือดที่ผ่านมาก็จะอธิษฐานในใจลักษณะเดียวกันนี้
ผมเริ่มบริจาคเลือดครั้งแรกเมื่ออายุ ๑๙ ปีที่จังหวัดระยอง ตอนนั้นพักอยู่ที่อำเภอบ้านฉาง มีเพื่อนคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถเฉี่ยวชนเพื่อนๆ ที่ทำงานจึงได้พากันบริจาคให้ ต่อมาก็มีการบริจาคแบบเจาะจงบ้างไม่เจาะจงบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะไม่เจาะจงผู้รับ บัตรสีชมพูครั้งแรกที่ทางกาชาดออกให้นั้นได้หายไป เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนให้ใหม่...
ต่อมาบัตรใบที่สองที่ออกให้ใหม่เริ่มลงรายการตั้งแต่ครั้งที่ ๖ พ.ค.๔๐ ที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ จากนั้นก็จะบริจาคย้ายไปเรื่อย ๆ ตามสถานที่ที่ตนเองไปพักอาศัยหรือไปทำงาน แต่ส่วนใหญ่แล้ว ช่วงที่บริจาคนี้จะเป็นชีวิตในสมณเพศ การให้ทานนั้นมีทั้งแบบทานบารมีและทานอุปบารมี ระดับจวนจะสูงสุด ควบคู่กันไป ที่บริจาคประจำคือโรงพยาบาลแม่และเด็ก หรือศูนย์อนามัยที่ ๘ นครสวรรค์ เพราะอยู่ใกล้วัดที่พัก แต่แปลกตรงเมื่อสอบถามข้อมูลของกาชาด เจ้าหน้าที่กาชาดนครสวรรค์ตอบว่าไม่มีหน่วยรับบริการโลหิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเป็นที่น่าฉงนฉงายต่อตนเองเป็นยิ่งนัก
สถานที่รองลงมาคือโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ นอกนั้นก็แล้วแต่ความเหมาะสม ครั้งที่ ๒๐ บริจาคที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และก็มีที่เชียงรายและพิษณุโลกอีกครั้งหรือสองครั้งเมื่อคราวทำงานอยู่ที่นั่น โดยบัตรผู้บริจาคโลหิตใบที่ ๓ ได้หายไป และต่อมาก็มีบัตรผู้บริจาคโลหิตใบที่ ๔ ทำใหม่เมื่อคราวที่มาทำงานอยู่ที่บ้านได้ไม่กี่ปีมานี้เอง...
บัตรใบที่สองมีสถิติการบริจาคได้ ๒๕ ครั้ง(ภาพแรก) ใบที่ ๓ มีสถิติบริจาคถึง ๓๒ ครั้ง หายที่พิษณุโลกพร้อมกระเป๋าสตางค์ทั้งหมด บัตรใหม่นี้บริจาคถึงครั้งที่ ๒๔ (เมื่อวานนี้) สรุปว่าหายไป ๗ ครั้ง หากรวมกันอยู่ครบทั้งหมดก็จะได้สถิติการบริจาคเลือดที่ ๓๗ ครั้งพอดี...
ผมแจ้งให้น้องเจ้าหน้าที่คัดกรองเมื่อวานนี้แล้ว น้องเขาบอกว่า “วันนี้ผมยุ่ง คราวหน้าผมจะปรับให้นะครับ” ผมก็บอก “ไม่เป็นไรครับ” เพราะคิดว่า เราก็มาบริจาคประจำอยู่แล้ว หากน้องเขาปรับให้ตามหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ จะมีสถิติการบริจาคเลือดทั้งหมด ๒๙ ครั้งพอดี...
การบริจาคเลือดไม่ใช่ที่ใคร ๆ ก็บริจาคกันหรือให้กันได้ง่าย ๆ เขามีเกณฑ์ให้เราต้องปฏิบัติตามหรือพิจารณาตนเองก่อนการปฏิบัติหลายประการ เช่น...
๑.เป็นผู้มีอายุครบ ๑๗ ปีและ ไม่เกิน ๖๐ ปีหรือเปล่า
๒.เป็นโรคที่มีความเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไต มะเร็ง ไทรอยด์ โรคเลือดไหลไม่หยุดหรือเปล่า
๓.ผ่าตัด รับเลือดมาก่อนหน้านี้ไม่เกิน ๑ ปีหรือเปล่า
๔.ก่อนหน้านี้ ๓-๔ วัน ถอนฟันมาหรือช่องปากเป็นแผลหรือเปล่า
๕.ก่อนมาบริจาคกินอาหารที่หวานและมีไขมันมาหรือเปล่า
๖.น้ำหนักลดผิดปกติหรือเปล่า สัญญาณไม่ดีแล้วขืนให้ไปอันตราย
๗.เมื่อคืนพักผ่อนหลับสบายดีเกิน ๖ ชั่วโมงหรือเปล่า หากนอนน้อยเลือดจะลอยครับ
๘.ก่อนบริจาคหนึ่งชั่วโมง สูบบุหรี่มาหรือเปล่า ทั้งที่ความจริงก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน รวมทั้งหลังบริจาคหนึ่งชั่วโมงด้วย
๙.ก่อนบริจาคหนึ่งวันหรือหนึ่งคืน ดื่มเหล้า เบียร์ กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อต่าง ๆ มาหรือเปล่า
๑๐.ก่อนบริจาค ๑ อาทิตย์ มีการกินยาแก้แพ้ แก้ปวดพารา แอสไพริน มาก่อนหรือเปล่า
๑๑.ก่อนบริจาค ๑๔ วัน มีการกินยาแก้แพ้ใด ๆ มาก่อนหรือเปล่า ยานี้แรงนะ สถานะตรวจเจอคล้ายยาบ้า อยู่ได้นานตั้งสิบกว่าวัน
๑๒.ภายในปีนี้ เคยเจาะหู เจาะจมูก เจาะสะดือ สักลายจนเลือดซิบ มาก่อนหรือเปล่า
๑๓.ภายในปีนี้ มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่คู่ของตนหรือ “กิ๊ก” มาก่อนบ้างหรือเปล่า...ถ้ามีก็ไม่สมควรบริจาคอย่างยิ่ง
๑๔.ต้องไม่ออกกำลังกายหรือทำให้เหนื่อยหรือร้อนเพราะความดันจะสูง เช่น เดินขึ้นบันไดหลาย ๆ ชั้น อาจวัดไม่ผ่านและเวลาให้เลือดแล้ว เลือดจะไหลไม่หยุดครับ
๑๕.กินอาหารให้อิ่ม ก่อนการบริจาคทุกครั้ง
๑๖.ดื่มน้ำสะอาดสัก ๒-๓ แก้วก่อนการบริจาค เพราะจะทำให้ไม่เป็นลมหรือหน้ามืด
๑๗.ในส่วนของผู้หญิงมีเพิ่มเติมคือ เวลามีประจำเดือน มีครรภ์ หรือหลังการคลอดบุตร ไม่ควรบริจาคเลือดด้วยประการทั้งปวง
การบริจาคเลือดจึงไม่ใช่ที่ใคร ๆ ที่ไม่มีความพร้อมจะบริจาคได้ง่ายๆ ดังตัวอย่างเบื้องต้นนี้ นอกจากนี้ ผู้บริจาคเลือดหรือผู้ที่คิดจะบริจาคเลือดก็จะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบด้านร่างกายของตนเองประกอบด้วย เช่น เป็นลมง่าย วูบหรือช๊อคง่าย เวียนศีรษะ โลหิตจาง กลัวเข็มเจาะ เป็นต้น
ผู้บริจาคเลือดจึงได้ชื่อว่าได้บำเพ็ญ ทานอุปบารมี เพราะไม่ใช่ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศจะทำหรือบริจาคกันได้ง่าย ๆ นี่ไม่รวมถึงปัจจัยด้านอื่นๆ ประกอบอีกนะครับ...
แต่ใช่ว่า การไม่สามารถบริจาคเลือดได้นั้น จะเป็นอุปสรรคหรือปัญหาปิดกั้นการสร้างมหาทานหรือการทำความดีด้านอื่น ๆ ได้นะครับ ยังมีการทำบุญแบบอุปบารมีด้านอื่นอีก เช่น บริจาคอวัยวะ มี ไต ตา กล้ามเนื้อ ร่างกาย ให้คนที่รักหรือให้โรงพยาบาล เมื่อตนเองเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังได้ อานิสงส์หรือกุศลแรงไม่แพ้กัน...ทานัง สัคคะโสปานัง ทานเป็นบันไดสู่สวรรค์...
สิ่งที่ผมไม่ทราบและฝากถามท่านผู้รู้คือ ทำไมต้องนำบัตรติดตัวไว้เสมอ?
ขอบคุณทุกท่านที่สนใจ ขอบคุณ GotoKnow
การบริจากโลหิต ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ดียิ่งกว่าบริจากใดๆๆ ค่ะ
โอกาสหน้าจะเข้าไปบริจาคเลือดมั๊ง