ผมมีโอกาสได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนให้กำลังใจทีมทำงาน “สภาห้าเทา” สองครั้งสองครา
ครั้งแรกเป็นการไปร่วมเป็นเกียรติในพิธีปิด สังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม และช่วยทำหน้าที่จับประเด็น กึ่งๆ ถอดบทเรียนไปในตัว พร้อมกับแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อเสนอแนะอย่างกว้างๆ แบบสดๆ ร้อนๆ ในพื้นที่
ส่วนครั้งที่สองเป็นการพบปะพูดคุยในเวทีสรุปบทเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งครั้งนี้เป็นการถอดบทเรียนทีมทำงานอย่างตรงไปตรงมา-
ดังที่กล่าวถึงแล้วในบันทึกที่แล้วว่า การสัมมนาสภาห้าเทาสัมพันธ์ ครั้งที่ ๘ ถือเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงของทีมสภานิสิต “มมส” เพราะเกือบทั้งหมดไม่ได้สันทัด-มีประสบการณ์ด้านงานค่ายฯ สักเท่าไหร่ แต่กลับหาญกล้าที่จะเรียนรู้ในแบบฉบับ “ทำไปเรียนรู้ไป”
สำรวจพื้นที่ คัดเลือกพื้นที่ : เรียนรู้บริบทเบื้องต้น
แรกเริ่มของการทำงานนั้น แกนนำเล่าให้ฟังว่า "หนักใจ" อยู่มากโขสำหรับภารกิจในครั้งนี้ -
ไม่มีใครจัดเจน สันทัดในแบบฉบับ “คนค่าย” อย่างเท่าที่ควร
และอยู่ในช่วงผ่านถ่ายคณะกรรมการตามวาระปีการศึกษา
แถมยังไม่มีข้อมูลพื้นที่ในการที่จะออกไปทำค่าย จึงฝากฝังทีมงานและเพื่อนๆ ที่มักคุ้นได้ให้ข้อมูล รวมถึงมอบหมายทีมงานลงสำรวจพื้นที่ โดยมุ่งไปยังพื้นที่ที่สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย ครอบคลุมมิติของ “บวร” ให้ได้มากที่สุด
และที่สำคัญคือพื้นที่ของการออกค่ายควรมีแหล่งเรียนรู้ในเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ได้หลากมิติ
เบื้องต้นจึงวางหมุดหมายรวมๆ ไปยังพื้นที่อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม อันเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณในยุคนครจำปาศรี เป็นที่ประดิษฐานขององค์พระธาตุนาดูน ซึ่งได้รับการเรียกขานว่าเป็น “พุทธมณฑลอีสาน”
และนั่นยังรวมถึงเป็นพื้นที่ตั้งของสถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช หนึ่งในหน่วยงานของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ซึ่งจากการลงพื้นที่สำรวจนั้น มีข้อมูลนำกลับมาโสเหล่คัดกรองกัน ๑-๒ พื้นที่ หลักๆ คำนึงถึงโจทย์อันเป็นความต้องการของชุมชน (โรงเรียน) ว่าเหลือบ่ากว่าแรงที่นิสิตจะไปดำเนินการได้หรือไม่ รวมถึงการชั่งวัดถึงความร่วมมือของชุมชนและโรงเรียนว่าจะ “จริงจัง จริงใจ” แค่ไหน ไม่ใช่เออออห่อหมก (เอาไว้ก่อน)
ที่สุดแล้วทีมทำงานจึงปลงใจเลือกโรงเรียนบ้านนาฝาย (ต.ดงดวน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม) เป็นพื้นที่หลักในการทำงานค่าย และเลือกเข้าพักค้างแรมที่สถาบันวิจัยวลัยรุกขเวช ซึ่งมีระยะห่างจากโรงเรียนฯ ไม่ถึง ๓-๔ กิโลเมตร
ภายหลังตัดสินใจเลือกพื้นที่แล้ว จึงเริ่มมอบหมายภารกิจในการติดต่อประสานงานต่างๆ รวมถึงการขออนุมัติโครงการ และที่สำคัญก็คือเริ่มมีการนำเอาข้อมูล “ชุมชน” มาบอกเล่าสู่สมาชิกกันฟังอย่างต่อเนื่อง
เป็นการบอกเล่าที่ไม่เป็นทางการ เป็นการบอกเล่าบนฐานคิดของการทำงานในแบบ “รู้ตัวตนโครงการ” ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาบริบทชุมชนร่วมกันว่ามีลักษณะทั่วไปอย่างไร มีทุนทางสังคมอย่างไร รวมถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร ประกอบด้วยกิจกรรมอะไรบ้าง...
กระบวนการอันง่ายงามข้างต้น ผมถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะทำให้นิสิต หรือแกนนำค่ายฯ ได้เข้าใจในสิ่งที่ตนเองกำลังจะทำ เข้าใจในบริบทวัฒนธรรมของชุมชนอันเป็นห้องเรียนที่กำลังจะไปเรียนรู้ มิใช่ไปทำงานแบบไม่ทำการบ้านล่วงหน้า
การทำการบ้านล่วงหน้าเช่นนี้ เมื่อเพื่อนต่างสถาบันต่างๆ เดินทางมาถึง ย่อมง่ายต่อการที่จะสื่อสาร หรือปฐมนิเทศเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นต่อการงานและภารกิจร่วมกัน
เปิดรับทีมงานร่วมสานสร้างพลัง : ได้คน (ล้นงาน)
ด้วยความที่ทีมสภานิสิตตระหนักรู้ว่าตนเองยังขาดประสบการณ์ในการทำงานค่าย กอปรกับเมื่อรวมสมาชิกจากเพื่อนต่างสถาบันแล้วมีจำนวนเกือบๆ จะ ๒๐๐ คน ยิ่งตระหนักว่าคงยากยิ่งต่อการบริหารจัดการ
ด้วยเหตุนี้จึงได้เปิดรับสมัครระดมกำลังคนเข้ามาช่วยงาน โดยเบื้องต้นไม่ได้กำหนดจำนวนคนอย่างชัดเจน เรียกได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี รวมถึงไม่มีการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะอย่างเป็นรูปธรรม จะมีเพียงก็แต่ด้านกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์เท่านั้นที่ดูเหมือนว่าถูกกำหนดขึ้นมาอย่างชัดแจ้ง และโฟกัสไปยังขุมกำลังจากสโมสรนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ เพราะถือว่าชัดเจน ฉะฉาน เป็นกระบี่มือหนึ่งในเรื่องนี้
กรณีดังกล่าวเช่นนี้ จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวทีถอดบทเรียน ค้นพบข้อดีและข้อด้อยไปพร้อมๆ กัน กล่าวคือได้ทีมทำงานเข้ามามากมายก่ายกอง แต่ไม่สอดรับกับกิจกรรมที่จะมีขึ้นในค่ายอย่างที่ควรจะเป็น เพราะไม่ได้กำหนดคุณสมบัติไว้ตั้งแต่ต้น
จนในที่สุดสถานการณ์จริงหน้างานที่มีคนเยอะๆ จึงกลายสภาพเป็น “ขาดคน” และ “คนล้นงาน” ไปเสียมิได้ เพราะส่วนใหญ่ล้วนมาในสาย “สันทนาการ” (บันเทิงเริงปัญญา) ล้วนๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังหมายรวมถึงการไม่กำหนดจำนวนทีมงานที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น จึงกระทบต่องบประมาณไปโดยปริยาย โดยเฉพาะในด้านของ “อาหาร” นั้นเห็นได้ชัดเจนว่า “บานปลาย” อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ท่ามวิกฤตเช่นนั้น ทุกอย่างหาใช่ถดถอยล้มเหลวเสียทั้งหมด เมื่อแกนนำนิสิตได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ด้วยการ “เปิดใจ” ทำทุกอย่างในแบบฉบับ “ใจนำพาศรัทธานำทาง” โดยไม่เกี่ยงงอนว่า “เป็น-ไม่เป็น ”
รวมถึงการพยายามทำงานอย่างเป็นทีม และทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีที่สุด ทั้งหน้าที่ของการเป็นเจ้าภาพ และเปิดใจให้เพื่อนต่างสถาบันได้เข้ามาเป็นแกนหลักในกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันอย่างไร้พรมแดน
ไม่มีคณะกรรมการค่าย : แต่ใช้ใจขับเคลื่อน เป็นที่น่าสังเกตว่าสัมมนาสภาห้าเทาในครั้งนี้ ถึงแม้จะมีรูปลักษณ์ไปในทาง “ค่ายสภาห้าเทา” เสียมากกว่า แต่กลับไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารค่ายอย่างเป็นทางการ หรือแม้แต่การกำหนดหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมในด้านต่างๆ อย่างชัดเจนล่วงหน้า เจ้าภาพขันอาสาทำงานแบบเนียนๆ ไปอย่างเสร็จสรรพ มีการมอบหมายภายในคร่าวๆ แต่เพียงว่าใครต้องเป็นแกนประสานงานในกิจกรรมอะไร โดยส่วนตัวผมมองว่ากระบวนการเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่มีการประสานล่วงหน้าให้แต่ละสถาบันเป็นแกน หรือเจ้าภาพหลักในกิจกรรมต่างๆ แต่ก็ถือเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่ท้าทายมิใช่ย่อย กรณีดังกล่าวนี้นิสิตยืนยันว่าไม่ได้ตระเตรียมหลักคิดเช่นนี้จริง เพราะ “มองไม่ออก” ว่า “ต้องมี” หรือไม่ได้ “คิดล่วงหน้า” ว่าต้องให้เพื่อนต่างสถาบันมาเป็นแกนหลัก (จ้าภาพร่วม) ในกิจกรรมบางกิจกรรม เหมือนโครงการ “เทา-งามสัมพันธ์” ที่สถาบันต่างๆ จะได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพกิจกรรมในแต่ละด้านมาตั้งแต่ต้น ส่งท้าย ครับ, ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ .... หมายเหตุ ภาพโดย นิสิตจิตอาสาและงานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ กองกิจการนิสิต มมส.
และเมื่อเพื่อนต่างสถาบันเดินทางมาถึง ก็เปิดรับสมัครเข้าสู่กิจกรรมต่างๆ ตามความสมัครใจ แต่ยึดหลักของการคละสถาบันให้ได้มากที่สุด
ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มิได้เสียหายอะไร เพราะการงานที่จัดขึ้นในครั้งนี้ก็มิได้หนักหน่วงเฉกเช่นค่าย "เทา-งามสัมพันธ์"
ตรงกันข้ามยังมีจุดแข็งในอีกมิติ
เรียกได้ว่าเรียนรู้และเติบโตจากสถานการณ์จริงตรงนั้นเลยก็ว่าได้
ครับ, การเรียนรู้ผมว่าไม่มีอะไรเป็นแบบฉบับตายตัวและสมบูรณ์แบบ
การกล้าคิด กล้าทำ และการรับผิดชอบต่างหากคือต้นแบบหลักๆ ที่เราล้วนต้องตระหนักให้หนักแน่นในวิถีของการเรียนรู้
และนั่นก็เป็นหลักคิดที่ผมมักกล่าวย้ำซ้ำๆ ในเวทีต่างๆ
ในเวทีของการโสเหล่ระหว่างนิสิตกับผมนั้น นิสิตได้บอกเล่าถึงกระบวนการสรุปงานในแต่ละวันว่า ก่อนนอนในแต่ละค่ำคืน ทีมงานของ “มมส” จะนั่งประชุมสรุปผลการดำเนินงานประจำวันร่วมกัน รวมถึงการวางแผนที่จะต้องขับเคลื่อนในวันรุ่งขึ้น
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในเวทีดังกล่าวนี้ ไม่ได้เชิญแกนนำจากสถาบันต่างๆ มาร่วมประชุมด้วย ซึ่งประเด็นนี้ผมได้สะท้อนให้นิสิตฟังว่าจริงๆ แล้วคอ “ต้องเชิญ” (ให้พื้นที่) แกนนำของแต่ละสถาบันมา “ร่วมคิด-ร่วมรับรู้” และ “ร่วมเรียนรู้” ไปด้วยกัน...
เช่นเดียวกับปัญหาอื่นๆ ที่นิสิตได้สะท้อนออกมาว่ายังไม่บรรลุวัตถุประสงค์อย่างที่วาดหวังไว้ เช่น การมีส่วนร่วมของนักเรียน-ชาวบ้าน ซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมค่อนข้างน้อย เนื่องจากอยู่ในห้วงของการปิดภาคเรียน
กรณีดังกล่าวนี้ผมเองก็ย้ำเน้นว่าการมีส่วนร่วมของชุมชนถือเป็น “หัวใจหลัก” ที่มองข้ามไม่ได้ เพราะหากไม่เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นน้ำ ย่อมไม่รู้สึกเป็น “เจ้าของร่วม” ในสิ่งที่นิสิตได้ไปจัดสร้างไว้และอาจยากยิ่งต่อการที่นักเรียน ครู ชาวบ้านจะกระหายที่จะดูแลและต่อยอดด้วยตนเองสืบต่อไปในอนาคต
ทันทีที่ลงมือทำ ย่อมมีทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ
สำคัญคือเราเรียนรู้อะไรบ้างจากความสำเร็จ และความล้มเหลวที่ว่านั้น
สำหรับการงานในครั้งนี้ มวลสมาชิกสภานิสิต ผู้ซึ่งเป็นมือใหม่หัดขับในเรื่องของการทำค่าย หรือการเป็น คนค่ายนั้น ผมถือว่าทำได้ดี และเดินทางได้ไกลเกินกว่าที่คิด !
และที่แน่ ๆ เฉพาะนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กิจกรรมดังกล่าว ได้ทำหน้าที่เป็นเสมือนการบ่มเพาะโลกทัศน์และชีวทัศน์นิสิตามหลักคิดการมีอัตลักษณ์ "ช่วยเหลือสังคมและชุมชน" มีจิตสาธารณะเฉกเช่นปรัชญาสถาบันว่า "ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ขึ้นอยู่กับว่านิสิตจะให้ความสำคัญที่จะ "ทบทวนชีวิต"
รวมถึงการ "ทบทวนผลพวงการเรียนรู้" ที่ว่านั้นสักกี่มากน้อย แค่ไหน- และอย่างไรเท่านั้นเอง
สมัยที่เป็นนักเรียนเป็นนศ.
ผมก็เคยออกงานประเภทนี้มาบ้างเหมือนกัน
แต่ยุคสมัยก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว
มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันเลย
คือได้ประสบการณ์เพิ่มมากมาย
ชอบใจกระบวนการทำงาน
ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจ
ขอชื่นชมการทำงานครับ
ขอบคุณมากๆครับ
มาเรียนรู้กับอาจารย์ค่ะ
ประทับใจการทำงานของอาจารย์มาก ๆ จ้ะ เอาใจช่วยคนทำงานจ้าาา
ครับ ลุงชาติ
ยุคสมัย กำหนดวิถีคิด-รูปแบบชีวิตและการงาน
แต่ที่แน่ๆ การลงมือทำ ย่อมทำให้เราเกิดปัญญา...
ผมชอบงานกิจกรรม เพราะเป็นการเรียนรู้ในระบบทีม...
ไม่ใช่เรียนคนเดียว
แต่ในห้วงยามหนึ่ง เมื่อวันเวลาผ่านไป เราก็สงบนิ่งคุย ทบทวนกับตัวเอง
เห็นผลพวงของการเปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมนั้นๆ
ซึ่งมีทั้งที่สร้างสรรค์ และไม่สร้างสรรค์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็เติบโตมาจากทั้งสองนั่นอยู่ดี ครับ
ใช่ ครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
ไม่มีอะไรยากยิ่ง เกินความตั้งใจ
ช้าเร็ว ย่อมเห็นผล
ใกล้ใกล้ ล้วนเริ่มต้นจากการลงมือทำ
และจะมีค่ามากๆ หากทำมันด้วยใจ ครับ