สงครามอินโดจีน : บันทึกการรบในสงครามอินโดจีน พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๘๔ ของกำลังพลคนหนึ่ง(๒)


...ภาพการต่อสู้กันบนอากาศนั้นเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก เราได้เห็นนักบินของเราแสดงความกล้าหาญอย่างเด่นชัดโดยเข้ายิงข้าศึกอย่างไม่ละลดทีเดียว

บันทึกความทรงจำของพลทหารสุชาติ ตะบูนพงศ์(ต่อ)

ถูกระดมพลครั้งที่ ๒ และเหตุการณ์ในแนวรบ 



Posted Image

แผนที่แสดงบริเวณที่เป็นสนามรบกับฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีน ๒๔๘๓-๒๔๘๔



ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน (๒๔๘๓) เป็นวันที่เราได้รับการระดมพลเข้ารับราชการทหารกันอีกครั้ง แต่เรามาอยู่ที่ตั้งปรกติของเราที่เพ็ชร์บุรีได้ ๕ วันเท่านั้น เราก็ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนที่จากเพ็ชร์บุรีไปในวันที่ ๑ ธันวาคม และในเย็นวันนั้นเองเราก็ถึงจังหวัดปราจีนบุรี เพราะเรามารถไฟเราจึงเดินทางได้ช้ามาก มาอยู่ที่ปราจีนนี้เราได้อาศัยโรงเรียนทอผ้าอยู่อย่างเป็นอยู่ที่นี่การหัดการสอนคงเป็นไปอย่างปรกติ ต่อมาในวันที่ ๑๐ ธันวาคม วันฉลองรัฐธรรมนูญเราได้เที่ยวงานฉลองรัฐธรรมนูญที่นี่ ๑ คืน งานนี้ก็นับว่าสนุกสำหรับชาวต่างจังหวัด....เดือนนี้ทั้งเดือนเราคงอยู่ที่ด้วยความเป็นสุข ในวันสิ้นเดือนหรือเป็นวันสิ้นปีตามประฏิทินใหม่จน เมื่อขึ้นเดือนมกราคม วันที่ ๑(๒๔๘๔) จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ เราได้มีการรื่นเริงกันบ้างเพื่อต้อนรับปีใหม่ตามสมควร 

****ครั้นต่อมาเหตุการณ์ทางชายแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศสทวีความเข้มมากขึ้น จนเป็นเหตุปะทะกันด้วยกำลังทหารทั้งสองฝ่ายอย่างรุนแรงและกองทหารของเราก็ได้รุกเคลื่อนที่เข้าในดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส ทั้งนี้จึงเป็นเหตุแห่งชนวนสงครามให้เกิดขึ้น และเราได้รับคำสั่งจากแม่ทัพให้เคลื่อนไปยังชายแดนซึ่งในเวลานี้ กองทัพของเรายังขึ้นกับกองพลปราจีน เราจึงได้ออกเดินทางโดยรถไฟในวันที่ ๘ มกราคม และในคืนเดียวกันนี้ เราก็ได้มาถึงวัฒนานครประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้ เราพักอยู่ที่นี่เพื่อรอคำสั่งต่อไป รุ่งขึ้นเช้า เราได้เห็นภูมิประเทศของวัฒนานครนี้ เป็นป่าโปร่งมีต้นไม่ใหญ่มาก ค่ายพักทหารที่เราพักอยู่ห่างจากสถานีรถไฟออกจะมากสักหน่อยตกค่ำลงในวันที่ ๙ นี้ตอนดึก เราได้หลบภัยทางอากาศกันถึง ๒ ครั้งโดยมีเครื่องบินข้าศึกผ่านมา ๑ เครื่อง ป.ต. อ. ฝ่ายเราได้ยิงต่อสู้กันบ้างแต่ไม่ได้ผล รุ่งขึ้นวันที่ ๑๐ ตอนกลางวันก็ต้องหลบภัยกันอีกเป็นครั้งที่ ๓ ในตอนเย็นวันนี้เองเราก็เคลื่อนที่ต่อไปยังอรัญประเทศ ถึงอรัญราวครึ่งคืนเศษเราต้องเดินทางค้างคืนทั้งสิ้น เราไปพักอยู่ในป่าใกล้ด่านคลองลึก อยู่ในป่านี้ได้ ๓ วันในระยะนี้ฝนได้ตกลงมาบ้างแต่เรามีที่อาศัยหลบฝนอยู่แล้วจึงไม่สู้เดือดร้อนเท่าไรนัก ในป่านี้เป็นที่หลบภัยได้อย่างดี ค่ายพักทหารได้จัดสร้างไว้หลายแห่ง ในระหว่างที่พักอยู่นี้เราได้ไปอาบน้ำในห้วยที่ข้างที่เราพักอยู่อย่างสบาย น้ำใสไหลเย็นและใสสะอาดดี 

ในวันที่ ๑๓ เช้าวันนี้เราได้เดินกลับมายังค่ายทหารข้างสถานีรถไฟอรัญและพักอยู่ ๑ คืน ตอนกลางคืนได้มีเสียง สัญญานภัยทางอากาศ เราต้องวิ่งเข้าหลบภัยในป่าอีกพักหนึ่ง และรุ่งขึ้นวันที ๑๔ เราได้รับคำสั่งให้เดินไปยังด่านคลองลึกอีกเพื่อรอรถยนต์ลำเลียงไปยังแนวหน้า และในตอนเย็นวันนี้เราก็เคลื่อนที่ไปถึงบ้านหนองปลาดักและเข้าประจำแนวทันที นับว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เราขึ้นประจำแนวรบแล้ว แต่มิได้อยู่ร่วมกันทั้งกองพันเพราะเราต้องแยกกำลังกันไปช่วยกองรบด้านอื่นบ้าง อยู่ที่หนองปลาดักนี้ ๒ วันก็ยังคงไม่มีเหตุการณ์รบเกิดขึ้นแต่เรายังคงได้ยินแต่เสียงปืนยิงโต่ตอบกันข้างซ้ายแนวของเราเท่านั้น เพราะเรามารักษาปีกให้ ร. พัน ๙ ซึ่งเขาได้ถอนกำลังไปหนุนส่วนอื่นซึ่งเขาได้รุกเข้าปะทะข้าศึกจนถึงตลุมบอนและจับเชลยและอาวุธได้อย่างมากมาย 

***เราอยู่ได้ถึงวันที่ ๑๗ ก็เคลื่อนที่จากหนองปลาดักไปยังบ้านพร้าวโดยรถยนต์ในเย็นวันนี้เรากินข้าวเย็นกันอิ่มพอดีก็ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนที่ไปช่วย ร.พัน ๑ ที่บ้านบางเพราะข้าศึกเข้าโจมตีอย่างรุนแรง ในระหว่างขึ้นรถไปนั้นเวลาค่ำพอดี และฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นด้วย แต่เราก็ไปทั้งฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ในเวลานี้ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่รีบร้อนเท่าเวลาทีเดียว รถคงวิ่งไปตามทางซึ่งตัดเข้าป่าไม้เบญจพรรณใหญ่เรื่อยมา แม้น้ำฝนจะท่วมทางและมืดจนมองไม่เห็นอะไรก็ตาม ด้วยความชำนาญของผู้ขับ อาศัยไฟหน้าเป็นเครื่องส่องทาง รถจึงแล่นไปได้เรื่อย ๆ บางครั้งทางที่ไม่เรียบก็ทำให้รถโจนขึ้นลง น่ากลัวรถคว่ำเหลือเกิน ในระหว่างทางเราได้ยินเสียงปืนยิงกันอย่างหนาแน่น เสียงฟ้าคะนอง เสียงปืนใหญ่ยิงสนั่นไปหมด เมื่อเราได้ถึงบ้านบางอันเป็นจุดที่ข้าศึกเข้าโจมตีซึ่งเพื่อนทหารของเรากำลังยิงต่อสู้ข้าศึกอยู่เบื้องหน้านั้น แต่เราไม่ชำนาญภูมิประเทศจึงไม่สามารถขึ้นไปยังแนวรบได้ ได้แต่ฟังเสียงครวญครางของปืนใหญ่ของเราที่ยิงช่วยป้องกันแนวรบไว้เท่านั้น เราต้องนอนตากฝนและแช่น้ำกันในทุ่งนานี้ตลอดคืน บางตอนที่ต่ำก็มีน้ำขังอยู่มาก ในตอนที่เดินขึ้นมาถึงข้างหน้านั้นต้องเดินลุยน้ำกัน ซึ่งบางแห่งลึกถึงเข่าและแข้งก็มี รุ่งขึ้นวันที่ ๑๘ เราก็รู้ว่าเราเข้ามาอยู่ในป่าและทุ่งนาบางส่วนห่างจากแนวหน้าประมาณ ๑ กม.เศษ และในเวลากลางวันๆ นี้เราก็ได้ขึ้นไปเปลี่ยนให้ ร. พัน ๑ กลับพักยังหมู่บ้านบาง ส่วนเราก็เข้าประจำแนวรบแนวหน้าในวันนี้เป็นต้นไป

****ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ ในตอนกลางคืนประมาณ ๒๒.๐๐ น. เห็นจะได้ เราได้เกิดยิงกับข้าศึกเป็นเวลาราว ๓๐ นาทีเห็นจะได้ ทั้งนี้เข้าใจว่าคงเป็นหมู่ลาดตระเวนข้าศึกรุกล้ำเข้ามาแต่ฝ่ายเราก็คงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด วันที่ ๒๒ เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นก็บังเกิดขึ้นโดยเครื่องบินข้าศึก ๔ เครื่องได้บินมาวนเวียนอยู่รอบบ้านบางแล้วก็เริ่มโจมตีพวกเราทันที ได้ทิ้งลูกระเบิดลงมา ๔ ลูกทั้งนี้เราเห็นลูกระเบิดที่หล่นลงมาอย่างชัดเจนทีเดียว แต่พวกเราไม่ได้รับอันตรายเลยเป็นแต่ทหารใน ร.พัน 1 ถูกบาดเจ็บบ้างไม่กี่คน เครื่องบินที่มานี้เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิด 1 เครื่อง นอกนั้นเป็นเครื่องบินขับไล่ซึ่งมันก็ได้ให้ปืนกลของมันยิงกราดลงมายังพวกเราเหมือนกัน รุ่งขึ้นวันที่ ๒๓ ตอนเย็นเรากำลังเล่นกันเพลินอยู่ก็มีเครื่องบินข้าศึกชุดเดียวกับวันที่ ๒๒ นั้นบินมาอีก เข้าใจว่าจะมาทิ้งระเบิดอีกแน่นอนแต่พอบินมาถึงหน้าแนวรบของเราก็ปะทะกับเครื่องบินฝ่ายเราซึ่งบินตะเวนรออยู่ก่อนแล้วและเครื่องบินทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างทรหด ผลสุดท้ายฝ่ายฝรั่งเศสก็พ่ายไปโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดถูกยิงตกและเครื่องบินขับไล่ก็หนีไป ภาพการต่อสู้กันบนอากาศนั้นเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก เราได้เห็นนักบินของเราแสดงความกล้าหาญอย่างเด่นชัดโดยเข้ายิงข้าศึกอย่างไม่ละลดทีเดียวและในวันนี้เราก็ได้รับถุงของขวัญ 1 ถุง

**** รุ่งขึ้นวันที่ ๒๔ ก็มีเครื่องบินข้าศึกบินมาโจมตีเราอีกแต่ไม่พบกับเครื่องบินของเรา เครื่องบินที่มาวันนี้มี ๒ เครื่อง พอถึงมันยิงเราด้วยปืนกล แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายเลย ในวันที่ ๒๖ ตอนเช้ามืดเราก็เริ่มรุกเคลื่อนที่จากบ้านบางไปยังบ้านกันดัล ในระหว่างรุกเคลื่อนที่ เราได้เป็นหมู่ลาดตระเวนมาข้างหน้าเพื่อนโดยผ่านบ้านตาล บ้านตะโนด มาถึงบ้านกันดัล เป็นระยะทางประมาณ ๓๔ กิโลเมตร มาอยู่ที่นี่ที่ ...ยังคงไม่มีเหตการณ์เกิดขึ้น ครั้นรุ่งขึ้นเรารุกต่อไปอีกหนทางประมาณ ๓๒ กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านเตยเสียม พักอยู่ที่นี่ 1 คืนแต่วันที่ ๒๘ ที่เรามาถึงบ้านเตยเสียมนี้ กองร้อยที่ ๓ ของกองพันเราได้รุกเลยไปถึงถนนศรีโสภณ จึงเป็นการตัดขาดจากการติดต่อระหว่างศรีโสภณกับกับด้านสวายจิกนี้นั้น(?)ในเย็นวันนั้น ขณะที่การลำเลียงของฝรั่งเศสจะไปมาในทางนี้ จึงเป็นไปอย่างลำบากยิ่งมันจึงใช้กำลังทหารราบร่วมกับรถถังเข้ายิงพวกเรา แต่พวกเราก้อน้อยกว่าเพราะมีเพียงกองร้อยเดียว เพราะเราอยู่ข้างหลังกว่าจะขึ้นไปช่วยก็ปรากฏว่าข้าศึกถอยไปก่อนแล้ว เราจึงถอยมายึดบ้านเตยเสียมดังเดิม

(มีตอนต่อไป)

หมายเลขบันทึก: 571527เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2014 21:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 กรกฎาคม 2014 16:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

...ติดตามอ่านบันทึกที่มีคุณค่ามากนะคะ...ขอบคุณค่ะ

ท่านเป็นนักเขียนด้วยหัวใจจริงๆ ค่ะ ชื่นชมมากค่ะ 

ได้อ่านประวัติศาสตร์ย้อนยุคที่น่าสนใจมาก ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณทุกท่านค่ะที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึกนี้ค่ะ

สวัสดีค่ะพี่ใหญ่

ดีใจจังค่ะที่ได้เห็นรูปทหารแต่งชุดทหารอยู่ในสนามรบ น้องไม่พบรูปของพ่อเลยค่ะนอกจากรูปที่ถ่ายคูกับบัตรเหรียญชัยสมรภูมิ เหมือนโกโบริค่ะ  จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นรูปหมู่อยู่บ้างตอนเด็ก ๆ แต่ตอนที่พบบันทึกไม่เห็นเลย เป็นไปได้ที่จะมีอยู่ญาติอีก 2 คนที่ร่วมสงครามครั้งนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ก็อายุครบ 100 ปีย่าง 101 ปี เท่า ๆกับสมเด็จพระสังฆราช คุณพ่อพี่ใหญ่คงทำบันทึกไว้บ้าง วันหลังเอามาลงที่นี่บ้างซิคะ คงน่าสนใจมาก ๆเลย ทหารคราวนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่อีก 1 คน คือ พลเอกเปรมค่ะ ท่านต้องเข้าร่วมตอนเรียนจบหมาด ๆรับกระบี่ในสนามค่ะ ท่านอ่อนกว่าทหารกองหนุนที่ระดมออกศึกครั้งนั้นหลายปีค่ะ

คุณพ่อเขียนบันทึกได้เห็นภาพชัดเจน   อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย เหมือนกำลังนั่งดูหนังสงคราม

รออ่านต่อนะคะ

ขอบคุณค่ะคุณnui ทีอ่านและให้กำลังใจเสมอมา อ่านบันทึกท่านแล้วตื่นเต้นแทนท่านเลยค่ะ เพราะอยู่ในสถานการณ์รบจริง แต่กองท่านก็คลาดแคล้วทุกคน ทำให้เรารู้ว่าการรบจริงเป็นอย่างไรนะคะ  

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท