ระยะหลังๆ ผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขกับการประชุมเท่าใดนัก
กระนั้น ผมก็ไม่ปฏิเสธว่าการประชุม เป็นทั้งระบบและกลไกของการพัฒนาองค์กรและพัฒนาคนในองค์กรอย่างน่าสนใจ
โดยเนื้อแท้ ผมยังเชื่อและศรัทธาว่า การประชุมคือการแลกเปลี่ยนทัศนคติความคิดกันและกัน –เป็นการเสริมสร้างสัมพันธภาพของคนในองค์กร เป็นกระบวนการของการหลอมรวมผู้คนสู่เป้าหมายร่วมกันและอื่นๆ อีกจิปาถะ
ในทุกครั้งของการประชุม เราล้วนคาดหวังเรื่องราวอันเป็น “มติ” หรือ “นโยบาย” ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อนำไปสู่การ “ปฏิบัติ” ที่เป็นหนึ่งเดียว เป็นทีม และมีพลัง
หรือในอีกมุมก็คือ ... การประชุมคือกระบวนการย้ำเน้นให้เกิดความมั่นใจในภารกิจที่กำลังจะลงรงขับเคลื่อน ทั้งโดยการ "ทบทวนอดีต- ปัจจุบัน" ควบคู่ไปกับการวาดหวัง "ภาพฝันในอนาคต" ที่รออยู่เบื้องหน้า...
หากแต่ในหลายต่อหลายครั้ง ต้องยอมรับเช่นกันว่าการประชุมก็มิอาจตอบโจทย์ดังกล่าวได้ทั้งหมดเสียทีเดียว บ่อยครั้งเราประชุมกันถี่ยิบ จนแทบไม่มีเวลาทำงาน
หรือบ่อยครั้งก็ประชุมยืดเยื้ออย่างที่สุด ซึ่งมีทั้งยืดเยื้อด้วยสาระและยืดเยื้อแบบไร้สาระ พลอยให้ไม่หลงเหลือเวลาทำงาน จนสุดท้ายหลีกไม่พ้นต้องหอบงานพะรุงพะรุงกลับไปทำที่บ้าน
นี่คือปรากฏการณ์จริงที่ผมเชื่อว่าหลายที่ หลายองค์กร ประสบพบพานไม่ต่างกัน จะแตกต่างไปบ้างก็ตรงที่ว่า องค์กรใดตกอยู่ในชะตากรรมนี้มากและน้อยต่างกันเท่านั้นเอง
ครับ-สำหรับผมแล้ว ผมคงจะไม่พูดถึงศาสตร์และศิลป์แห่งการจัดประชุมหรอกนะครับ เพราะนั่นคือหลักการภาคทฤษฎีที่ใครๆ รับรู้ และมีความรู้อย่างเต็มล้นอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใครต่อใครมีทักษะ และใส่ใจที่จะบริหารการประชุมได้แค่ไหน –อย่างไร
แต่ในบันทึกนี้สิ่งที่ผมอยากพูดมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “เหตุ” หรือ “ปัจจัย” อันเป็น “บริบท” ที่ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยใจกับการต้องนั่งประชุมในเวทีต่างๆ ... ซึ่งมีหลายเรื่อง หลายประเด็น เป็นต้นว่า
การพูดคุยในเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งอุบัติขึ้นในองค์กร ทำราวกับไม่มี “ต้นทุน” ใดในตนเองและองค์กร
บทเรียนเก่าๆ ไม่ถูกนำมาขยายผลต่อยอดและสะสาง ทุกอย่างดูเหมือนวกวนกลับมาถามซ้ำและทำซ้ำอย่างน่าใจหาย หรือกระทั่งไม่สามารถนำเอาประสบการณ์ความรู้เดิม หรือที่มีอยู่ในองค์กรและตัวเองมา “ประยุกต์” กับการงานใหม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว (คร่ำหวอดมายาวนาน) หาใช่ "คนใหม่-มือใหม่" (หัดขับ) เลยสักนิด
นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงวาระ "แจ้งเพื่อทราบ" ซึ่งดูเหมือนยืดยาวกันมากมาย - ยืดยาวจนแทบไม่หลงเหลือเวลาในวาระของการ “พิจารณา” ...
ครั้นประชุมเสร็จ (เสร็จแล้วเสร็จเลย) ไม่มีการสรุปบันทึกการประชุมแจ้งเวียน หรือรับรองรายงานการประชุม ทิ้งค้างไว้อย่างเย็นชา -บูดเน่า
ซ้ำร้ายในบางเวที คนที่เข้าร่วมประชุมยังก้มๆ เงยๆ อยู่กับแค่ “มือถือ”
บ้างตั้งหน้าตั้งตาโพสเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ เล่นทวิตเตอร์ เล่นเกมอย่างเนียนๆ
และที่น่าหยิกที่สุดคือการปล่อยให้สัญญาณเสียงจากเฟซบุ๊กและไลน์ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ พลอยให้อดที่จะรู้สึกรกรำคาญหูและตามากโขเลยทีเดียว
นี่เป็นเพียงปรากฏการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเริ่มมองว่าเป็นแรงผลักให้ผมอิ่มเบื่อ (จิตตก) ไปในเวทีการประชุม
ครับ- เป็นความอิ่มเบื่อที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและเริ่มถี่ขึ้นเป็นระยะๆ
เหนือสิ่งอื่นใด ในมุมกลับกันนี้ ผมยังคงเชื่อและศรัทธา หรือไม่สิ้นหวังต่อการสร้างงานสร้างคนผ่านเวทีการประชุม ด้วยตระหนักว่าการประชุม คือเวทีการจัดการ “ความรู้และความรัก” ไปพร้อมๆ กัน...
หรืออีกนัยหนึ่ง เวทีการประชุม เป็นเสมือนการนำพาให้โลกหลายๆ ใบของแต่ละคนได้หมุนวนมาปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อนำไปสู่กระบวนการของการหลอมรวมโลกเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียวภายใต้เป้าประสงค์-จุดหมายเดียวกัน (ซึ่งทั้งประธาน-สมาชิกผู้เข้าร่วมประชุม ต้อง “เปิดใจ” ที่จะเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงต้องร่วมกัน “บริหารจัดการการประชุมให้มีประสิทธิภาพ"
ท่านละครับ มีบริบทอันเป็นความอิ่มเบื่อเฉกเช่นกันผมหรือไม่
หรือมีแนวปฏิบัติอันใดที่สร้างสรรค์ก็เรียนเชิญแบ่งปันบอกเล่าได้นะครับ
ผมจะได้นำกลับไปเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรยากาศการประชุมไม่ให้น่าเบื่อ อันจะเป็นแนวปฏิบัติที่ดีต่อการพัฒนาองค์กรและคนในองค์กร ต่อไป และต่อไป (อย่างไม่สิ้นหวัง)
แฮะ แฮะ ครูดุ ๆ อย่างผม คงพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเลยครับ ;)...
...ในระบบการบริหารงานภาครัฐ บันทึกการประชุมถือเป็นเอกสารสำคัญของหน่วยงานนะคะ
เป็นกำลังใจให้คำทำงานจ้ะ
ผมจะบอกตรงๆ
ตั้งกติกาก่อนการประชุมโดยเฉพาะเรื่องโทรศัพท์
รับไม่ได้ครับ
ถ้ามีการวางแผนดีๆของผู้บริหาร
การประชุมจะมีประโยชน์มากเลยครับ