debut13
นางสาว บงกช อุชายภิชาติ

คนโง่ไปวัด 7


ธรรมะ สมาธิ วิปัสสนา

  แต่ด้วยความแปลกที่แปลกถิ่น  ยังไม่ทันที่ระฆังทำวัตรเช้าจะทำหน้าที่ของมัน  เราก็ตื่นขึ้นมาซะแล้ว  โยมปฏิบัติธรรมที่นี่ จะมีสิ่งที่คล้ายกัน และทุกคนปฏิบัติจนดูเหมือนเป็นกฎนั่นคือ ทุกคน จะพยายามพูดน้อยที่สุด และถ้าให้ดีที่สุด ก็ไม่ควรพูดเลย  (พระอาจารย์บอกกับเราว่า การพูดมาก ๆ ทำให้มีแต่จิตใจวอกแวก และเป็นการยากที่จะทำให้จิตใจของเราตั้งมั่นอยู่กับสมาธิ)  อยู่ที่นี่เราจึงดูน้อยมาก  อาจแทบเรียกได้ว่า ไม่ได้พูดเลย

    วันนี้เป็นวันที่สองของการได้มาอยู่ใต้ร่มพระพุทธศาสนา ที่สถานปฏิบัติธรรมเวฬุวันแห่งนี้ อากาศในตอนเช้ามืดที่เราแทบไม่เคยตื่นมาสัมผัส มันช่างดูสงบเยือกเย็นเสียนี่กระไร  เงาตะคุ่มมองเห็นเป็นสีขาว ๆ  ต่างเคลื่อนตัวเรียงรายออกมาจากเรือนนอน  มุ่งหน้าไปยังศาลาหลังใหญ่  เท้าเราสัมผัสได้ถึงความเปียกชุ่มบนยอดหญ้าที่ต้องน้ำค้างจากเมื่อคืน  ถึงแม้ในตอนนี้จะมีเพื่อนธรรมมากมายที่ต่างพากันมุ่งหน้าเพื่อไปสวดมนต์ในตอนเช้าร่วมกับพระภิกษุ  แต่ดูเหมือนว่า เสียงที่อยู่รอบกายเรากลับไม่มีเสียงพูดคุยของคนเหล่านั้น มีเพียงเสียงสวบสวบของการเดิน  และเสียงของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัว  ทุกคนอยู่ในอาการเดินที่ตั้งมั่นในสมาธิ  ชีวิตทุกชีวิตกับการกระทำทุกอย่าง ณ ที่นี่ แห่งนี้ พึงระลึกและยึดมั่นอยู่กับสติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น....

     หลังจากที่สวดมนต์เช้าเสร็จ เราทั้งหลายก็กลับมาทำกิจธุระส่วนตัว รับประทานอาหารเช้า  (ซึ่งแปลกมากที่เรากลับไม่ได้รู้สึกหิวโหย เหมือนที่คิดเอาไว้)  และเริ่มเข้าศาลาหลังเล็กทำสมาธิ  และกิจวัตรเหมือนที่คนอื่น ๆ ปฏิบัติ  ก่อนหน้าที่เราจะมาที่นี่ เราคิดไว้แต่ว่า เป็นการมาพักผ่อน  หอบหนังสือมาเป็นตั้ง เหน็บเอาไดอารี่มาเขียนอีกหนึ่งเล่ม  แต่พอได้มาสัมผัสที่นี่จริงๆ แล้ว เราจึงได้รู้ว่า  เรานี่หนาคิดโง่เง่าจริงๆ เพราะที่นี่ กิจกรรมหลักที่ทุกคนต้องทำ คือ นั่งสมาธิ ทำวิปัสสนากรรมฐาน  ไม่มีใครที่ไหนเลย จะหอบเอาเสื่อแล้วไปหาปูนอนเล่นใต้ต้นไม้ หรือไม่มีใครหน้าไหนเลย ที่จะมาหลบนอนอ่านหนังสือ เขียนไดอารี่ เหมือนที่คิด  ภาพที่เห็นคือเพื่อนธรรมที่อยู่ในอาการสงบ กับการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ ตลอดเวลา  มีเพียงเราเท่านั้น ที่ยังใหม่เหลือเกินกับกิจวัตรที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ นั่งสมาธิได้เพียงแค่สิบนาที ก็รู้ได้ถึงความเหน็ดเหนื่อย เมื่อย ล้า ง่วงเหงาหาวนอน  รวมไปถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับขาทั้งสองข้างของตน  แอบหรี่ตามองเพื่อนธรรมข้างๆ ก็ไม่มีใครไหวติง กับนั่งนิ่งอยู่ในท่าขัดสมาธิได้โดยไม่ยากเย็น  ในช่วงบ่ายเราพยายามที่จะนั่งสมาธิให้ได้สามสิบนาที  นั่งมาได้ถึงนาทีที่ ยี่สิบ  ขาเราเป็นเหน็บจนรู้สึกปวดมาก ขาทั้งสองข้างที่นั่งขดทับกัน ดูเหมือนว่ามันจะถูกแยกออกเป็นชิ้น ๆ   อย่าว่าแต่สมาธิที่จะเกิดเลย  ตอนนี้เราคิดแต่ว่า เราคงต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นให้ได้  "ตายเป็นตายวะ"  เราคิดแค่นั้น  ณ ตอนนั้น  สิ่งปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น  หลังจากที่เราต่อสู้กับจิตใจ และความเจ็บปวดของเรา ผ่านมาได้ประมาณสิบกว่านาที  ความเจ็บปวดที่บริเวณขาก็จางหายไป  (จริงๆ แล้ว  มันคงชามากจนไม่รู้สึกอะไรต่างหาก)  เราเริ่มหันกลับมากำหนดจิตให้เป็นสมาธิมากขึ้น  ในช่วงเสี้ยววินาทีหนึ่งนั้น เราว่า เราสัมผัสได้ กลับคำว่าจิตใจเป็นสมาธิ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวนาทีในตอนนั้น เราก็ยังจำความรู้สึกแบบนั้นได้มาจนถึงทุกวันนี้  แต่สมาธิก็อยู่กับใจเราได้ไม่นาน เพราะมัวแต่คิดตื่นเต้นดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 

หมายเลขบันทึก: 57130เขียนเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2006 15:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท