เชียร์ล้มโครงการแจกแท็บเล็ตนักเรียน เสนอซื้อกล้องถ่ายวีดิทัศน์ให้โรงเรียนแทน


ผลสุดท้ายที่ต้องการคือผลลัพธ์ การเรียนรู้ของนักเรียนดีขึ้น โดยที่ไม่ใช่แค่ดีขึ้นเฉพาะผลการสอบวิชา แต่จะดีขึ้นครบด้านของพัฒนาการ ของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการคิด และความเป็นคนดี ครบตาม “ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑” รวมทั้งครูก็จะพัฒนาขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาครูไปในตัว

เชียร์ล้มโครงการแจกแท็บเล็ตนักเรียน เสนอซื้อกล้องถ่ายวีดิทัศน์ให้โรงเรียนแทน

ข่าวจากหน้าหนึ่ง นสพ. เดลินิวส์ ฉบับลงวันที่ล่วงหน้า ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ผมอ่านที่ห้องรับรอง การบินไทย จ. ขอนแก่น บ่ายวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ บอกว่า คสช. สั่ง ศธ. ล้มโครงการแจกแท็บเล็ต ปี ๒๕๕๗ วงเงินกว่า ๔,๐๐๐ ล้านบาท ผมขอเชียร์ว่า เป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว เพราะการใช้เงินซื้อแท็บเล็ตแจกนั้น มีประโยชน์ต่อเด็กน้อยมากถึงไม่มีเลย มีประโยชน์มากต่อผู้รับ “เงินทอน” เป็นหลัก

ขอเสนอให้ใช้เงินก้อนนี้ (๔,๐๐๐ ล้านบาท) ในการพัฒนาคุณภาพของรอยต่อระหว่างนักเรียนกับครู หรือพัฒนากระบวนการสอนของครูนั่นเอง โดยซื้อเครื่องมือที่จะทำหน้าที่เป็น “กระจกส่อง” (feedback) แก่ครู ว่าตนสอนดีหรือไม่ดีอย่างไร

เครื่องมือนี้คือเครื่องถ่ายวีดิทัศน์ขนาดเล็ก เลนส์ถ่ายภาพมุมกว้าง ที่ไมโครโฟนรับเสียงไวพอที่จะ บันทึกเสียงในห้องเรียนได้ชัดเจนทั่วห้อง ซึ่งซื้อจำนวนมากผมคิดว่าราคาระหว่าง ๕ พันถึง ๑ หมื่นบาทเท่านั้น ซื้อเอามาให้ครูใช้หมุนเวียนกันบันทึกเหตุการณ์ (และเสียง) เอาไว้ตรวจสอบทบทวนการสอนของตนเอง เป็น feedback แก่ตนเองว่าควรปรับปรุงตนเองอย่างไร สำหรับเอาไปหารือกับผู้บริหารโรงเรียน และกับเพื่อนครู

คำแนะนำนี้ เป็นไปตามที่ Bill Gates เสนอไว้ ที่นี่ โดย บิลล์ เกตส์ ได้ความคิดนี้จากเซี่ยงไฮ้ ที่ใช้วิธีการจัดให้ครูได้รับ feedback จากวีดิทัศน์บันทึกเสียงและเหตุการณ์ในห้องเรียน แล้วนำไปปรับปรุง การสอนของตน ทำให้ผลการทดสอบ PISA ได้ที่ ๑ ของโลก

ผมเสนอให้ซื้อกล้องดังกล่าวแจกโรงเรียนทั่วประเทศตามจำนวนครู ให้ ๑ เครื่องต่อครู ๑๐ คน มีครูอยู่ ๔ แสนคน ซื้อ ๔ หมื่นเครื่อง เป็นเงิน ๒ - ๔ ร้อยล้านบาทเท่านั้น จะได้ผลดีกว่าแจกแท็บเล็ตมากมาย แต่ต้องมีการจัดการเพื่อให้ครูและผู้บริหารโรงเรียนใช้เครื่องเหล่านี้เป็นกระจกส่องตัวเองเป็น ใช้เงินอีกสักเท่าตัว คืออีก ๔ ร้อยล้านบาทเพื่อฝึกและจัดระบบการจัดการในโรงเรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้หรือพัฒนาครู

รวมแล้วใช้เงินน้อยกว่าแผนของรัฐบาลขี้โกงกว่า ๔ เท่า แต่จะได้ผลมากกว่าไม่ต่ำกว่า ๔ เท่าเช่นเดียวกัน โดยต้องหาคนจัดการที่ทำเป็นและไม่โกง หนึ่งในกลุ่มคนที่ทำเป็นอยู่ใน ข่าวนี้ หรือจะมาปรึกษาผมโดยตรง ผมก็จะแนะนำตัวคนและกลไกการจัดการให้

ผลสุดท้ายที่ต้องการคือผลลัพธ์ การเรียนรู้ของนักเรียนดีขึ้น โดยที่ไม่ใช่แค่ดีขึ้นเฉพาะผลการสอบวิชา แต่จะดีขึ้นครบด้านของพัฒนาการ ของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการคิด และความเป็นคนดี ครบตาม “ทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑”

รวมทั้งครูก็จะพัฒนาขึ้น เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาครูไปในตัว

เป็นการเริ่มต้นปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริง

วิจารณ์ พานิช

๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗

หมายเลขบันทึก: 570549เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2014 20:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2014 20:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เห็นด้วยครับ และจัดโครงการส่งเสริม หรือกระตุ้น ให้ครูและนักเรียนได้แลกเปลี่ยนผลงานของกันและกัน เรื่องการฝึกอบรมพัฒนาครู ใช้กล้องหรือตัดต่อภาพ ให้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ให้ส่งศิษย์เก่าของโรงเรียน เข้าไปช่วย จะลดงบประมาณ หรือถ้าจ่าย ก็จะเป็นกระจายงบประมาณ ได้อย่างดียิ่ง ...

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท