ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วยหรือ

ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วยหรือ

ในปัจจุบันในการดำเนินธุรกิจ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจ หรือผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของจริยธรรมของผู้ประกอบการ ซึ่งจริยธรรมของผู้ประกอบการที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งคือ หลักที่ว่าการดำเนินธุรกิจของตนจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเคารพในสิทธิมนุษยชน ซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ประกอบการนนั้นสามารถพบได้ทั้งกรณีที่เป็นการละเมิดบุคคลเป็นการทั่วไป หรือกรณีที่ผู้ประกอบการทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนของลูกจ้างของตนเอง ซึ่งในบทความนี้จะขอกล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของลูกจ้างของตน

การละเมิดสิทธิมนุษยชนของนายจ้างนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งแต่ในบางคราว บุคคลทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้น แต่หากเราพิจารณาให้ถ่องแท้แล้วจะพบว่าในบางกรณีเป็นก็เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของลูกจ้างโดยการทำให้ลูกจ้างถูกริดรอนสิทธิอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งกรณีที่น่าสนใจมากกรณีหนึ่งคือการบังคับให้ลูกจ้างตรวจหาเชื้อ HIVข้อมูลจากมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ และ กรมควบคุมโรคเปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางมูลนิธิได้รับการร้องเรียนจากลูกจ้างที่ต้องออกจากงาน เนื่องจากพบว่าติดเชื้อเอดส์เป็นจำนวนมาก แต่การออกจากงานนี้ไม่ใช่การออกจากงานโดยสมัครใจ เนื่องจากเป็นการถูกให้ออกจากงานเนื่องจากพนักงานติดโรคเอดส์ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งพบทั้งในหน่วยงานทั้งภาครัฐ และ ภาคเอกชนคือมีการกระทำในลักษณะบังคับให้ตรวจโรคเอดส์ และเมื่อตรวจพบโรคเอดส์ก็จะให้ออกจากงาน หรือมีการกีดกันไม่ให้เลื่อนตำแหน่ง ซึ่งแม้จะมีข้อดีว่าผู้ติดเชื้อสามารถรักษาโรคได้ทันท่วงที แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตรวจพบเชื้อเอดส์ ทำให้ผู้ติดเชื้อได้รับอัคติจากสังคม เสียชื่อเสียง ถูกสังคมรังเกียจ อันเป็นเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อผู้ที่ถูกตรวจพบเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่การตรวจดังกล่าวลูกจ้างอาจจะไม่ได้มีความสมัครใจเสียด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนระบุว่า ข้อ1 “บุคคลชอบที่จะมีสิทธิและเสรีภาพประดามีที่ระบุไว้ในปฏิญาณนี้ ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใดๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นใด นอกจากนี้การจำแนกข้อแตกต่างโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมืองทางดุลอาณาหรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้ ทั้งนี้ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกราชอยู่ในความพิทักษ์ มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด^”

พิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าว อาจมองได้หรือไม่ว่าการปฏิบัติต่อคนที่ติดเชื่อเอดส์ เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมในเรื่องของสุขภาพ?

การบังคับให้พนักงานตรวจโรคเอดสืนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นกรณีที่ผู้ประกอบการสร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างเนื่องจากว่า พนักงานหรือลูกจ้างในฐานะลูกจ้างของบริษัทย่อมจำต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกระนั้นเมื่อผลการทดสอบออกมายังต้องรับผลกรรมจากการทดสอบที่ตนไม่ได้สมัครใจอีกด้วย อีกทั้งอาจมองได้ว่าการให้ออกจากงานในขณะที่พนักงานยังมีภาระในการต้องรักษาตัวเองจากโรคร้ายเป็นเรื่องที่ ไร้มนุษยธรรมเป็นอย่างยิ่ง และ อย่างที่ทราบกันว่าโรคเอดส์เป็นโรคติดต่อที่มีฃ่องทางการติดต่อทางโลหิต และ การมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก และด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน สามารถทำให้คนที่เป็นโรคเอดส์สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและเป็นปรกติได้ แต่อาจต้องอาศัยการดูแลสุขภาพที่มากกว่าผู้อื่นเท่านั้นเอง เช่นนี้พาลให้เกิดคามว่า แล้วเหตุใดจึงต้องไล่คนที่เป็นเอดส์ออกจากการทำงาน ข้าพเจ้าเห้นว่าเป็นสิ่งที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเรื่องของความแตกต่างด้านสุขภาพร่างกาย ที่เกิดจากอัคคติที่มีต่อคนที่เป็นโรคเอดส์โดยแท้

แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ ควรจะให้การตรวจนั้นเป็นไปโดยสมัครใจ และเก็บข้อมูลของคนไข้เป็นความลับ และไม่ให้ผลการตรวจมีผลต่อหน้าที่การงาน เช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการทำประโยชน์ให้แก่ผู้เป็นโรคเอดส์อย่างแท้จริง

อ้างอิง

ลูกจ้างตรวจเชื้อ HIV เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน : http://www.thairath.co.th/content/206903 สืบค้นเมื่อ 16/5/57

ความหมายของสิทธิมนุษยชน : https://sites.google.com/site/may00may00may/sithth... สืบค้นเมื่อ 16/5/57

การบังคับตรวจเอดส์ : http://www.helpaids.worldmedic.com/datacenter/test.htm สืบค้นเมื่อ 16/5/57