ผู้ประกอบธุรกิจต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วยหรือไม่


การดำเนินธรุกิจในยุคปัจจุบันที่มีความเป็นโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ที่เป็นผลมาจากการพัฒนาการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยีสารสนเทศน์ ซึ่งเป็นเหมือนการย่อโลกให้คนทั้งโลกเข้ามาอยู่ใกล้กันมากยิ่งขึ้น [1] การทำธุรกิจในลักษณะนี้นั้นทำให้ผู้ประกอบธุรกิจทั้งหลายจะต้องประสบพบเจอ เกี่ยวพัน และได้ติดต่อสื่อสารกับคนหลากหลายรูปแบบ ซึ่งมนุษยเรามีความแตกต่างกันได้ในหลายรูปแบบ เช่น เพศ อายุ วัย สัญชาติ เชื่อชาติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ความต่างทางด้านประเพณีวัฒนธรรม วิธีทางการใช้ชีวิต แม้กระทั่งวิธีคิดในปัจจุบันสังคมได้มีการพัฒนาจากในอดีตไปมาก กล่าวคือในสมัยก่อนบุคคลอยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาอาศัยกัน หากมีความจำเป็นหรือต้องการสิ่งของเครื่องใช้ใดก็จะใช้การเเลกเปลี่ยนสิ่งของต่อกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในการใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น อีกทั้งกระเเสโลกาภิวัฒน์ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้าน ทั้งทางเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ และความต้องการของแต่ละคนก็เริ่มมากขึ้นตามมา จึงก่อให้เกิดการแสวงหาผลกำไรหรือผลประโยชน์เกิดขึ้น จนกลายมาเป็นสังคมธุรกิจ สังคมลักษณะนี้จะยึดถือผู้บริโภคว่ามีความต้องการสินค้าหรือบริการแบบใด โดยผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตก็จะผลิตสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และในการค้าจึงจำเป็นจะต้องมีการแข่งขันกันระหว่างผู้ประกอบการหลายราย เพื่อดึงดูดความสนใจให้ผู้บริโภคหันมาสนใจในสินค้าของตน ซึ่งการที่จะทำให้สินค้าเป็นที่สนใจได้นั้นต้องอาศัยการโฆษณาแก่ผู้บริโภค ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการโฆษณาที่อาจมีการนำเรื่องสีผิว เพศ และชาติพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนบางกลุ่มได้ โดยผู้ซึ่งจัดทำโฆษณาอาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์ไปในทางนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเนื่องจากการมองข้ามในจุดเล็กๆ อาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งและความไม่พอใจในสังคมได้[1]

ตัวอย่างการโฆษณาที่มีคนบางกลุ่มมองว่ามีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น โฆษณาของ DUNKIN DONUT หากถามในความคิดเห็นของข้าพเจ้าว่าเมื่อมองภาพโฆษณาดังกล่าวเเล้วรู้สึกว่าเป็นการเหยียดสีผิวหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ารูปภาพที่ใช้คนผิดดำมาถือโดนัทจะเป็นการเหยียดสีผิวแต่อย่างใด และข้อความที่ใช้ก็เป็นไปในทางการโฆษณาแต่เพียงเท่านั้น ทั้งภาพเเละข้อความไม่ได้มีการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคนต่างสีผิวแต่อย่างใด ไม่ได้สื่อให้เห็นว่าสีใดสูงส่งหรือมีเกียรติมากกว่าสีใด แต่ในทางกลับกันชาวอเมริการส่วนใหญ่เห็นภาพดังกล่าวเเล้วมีความรู้สึกว่าเป็นการเหยียดสีผิว ทั้งนี้อาจะมีเหตุผลเนื่องมาจากประวัติศาสตร์ของประเทศแถบตะวันตกในอดีตมีความขัดแย้ง และความรุนแรงเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการเหยียดสีผิว จึงทำให้คนอเมริกันมีความคิดที่ฝังในจิตใจอยู่เเล้ว และเมื่อมีอะไรมากระตุ้นเพียงน้อยนิดจึงเกิดความรู้สึกร่วม หรือมีความอ่อนไหวมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่มีประวัติศาสตร์่นนั้นหรือไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องการเหยียดสีผิวมาก่อน

นอกจากโฆษณาโดนัทเเล้วยังมีอีกหลายโฆษณาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่อาจมองเป็นการเหยียดสีผิวได้ เช่น โฆษณาโลชั่น Citra ที่มีการจัดแคมเปญใหญ่ที่ชื่อว่า "ขาว-ใส-วิ้ง คว้าทุนการศึกษา" จึงทำให้คนกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นการเหยียดสีผิว และเกิดคำถามที่ว่า แค่ขาวใสแต่ไม่ต้องมีสมองก็สามารถคว้าทุนการศึกษาได้เเล้วหรือ? ซึ่งในกรณีนี้ข้าพเจ้าคิดว่าการโฆษณาแบบนี้เป็นการสร้างค่านิยมในสังคมไทยที่ผิด ทำให้เกิดค่านิยมที่ว่าคนขาวต้องดูดีกว่าคนดำ ต้องฉลาดกว่า มีความรู้มีการศึกษามากกว่า ดูดีมีชาติตระกูลมากกว่า รวมไปถึงในอดีตมีความเชื่อของคนไทยที่สะท้อนออกมาผ่านทางวรรณคดีหรือวรรณกรรมต่างๆ ที่มักมองว่าสีขาวเป็นสีที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นสัญลักษณ์ของความดี แตกต่างจากที่ดำที่ดูเลวร้ายเป็นเป็นสัญลักษณ์ของความชั่ว เมื่อประกอบกันเเล้วจึงทำให้กระแสนิยมของผิวขาวชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการใช้โฆษณาต่างๆจูงใจและเป็นการเหยียดสีผิวตามมา ซึ่งจากกรณีของแคมเปญดังกล่าวนี้ข้าพเจ้าคิดว่าควรมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจากการที่ให้ทุนการศึกษาแก่คนผิวขาวสวย ไปเน้นในเรื่องของการเป็นคนดีในสังคมมากกว่า เน้นที่ความสามารถมากกว่า และในส่วนของการโฆษณาเพื่อขายสินค้านั้นสามารถทำได้อีกหลายรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการมองว่ามีการเหยียดสีผิวเกิดขึ้น[2]

ผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนด้วย เป็นเพราะจากที่ได้กล่าวมาในบันทึกก่อนหน้านี้นั้น สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดหลักการหนึ่งในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่ามันจะเป็นการส่งเสริมให้การประกอบธุรกิจนั้นก้าวหน้าและเป็นวิถีทางที่จะทำให้ธุรกิจนั้นประสบความสำเร็จได้ จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าโลกาภิวัฒน์นั้น ทำให้คนที่มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆต้องมาอยู่ร่วมกัน และทำงานร่วมกัน ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นผลดีต่อธุรกิจอย่างมาก เนื่องจากอย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นอีกเช่นเดียวกัน คือ คนที่มีความต่างทั้งเรื่องเพศ อายุ สัญชาติ หรือเชื้อชาตินี้ นำมาสู่วิธีคิดความคิดที่แตกต่างกัน มีมุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่งการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จนั้น การรวบรวมความคิดที่แตกต่าง อาจทำให้เกิดสิ่งใหม่ และอาจเป็นจุดเด่นในการทำธุรกิจก็เป็นได้ และยังอาจเป็นการช่วยเปิดตลาดในส่วนที่เราไม่เคยได้เรียนรู้หรือเข้าไปทำมาก่อน เพราะคนที่มาจากต่างที่อาจมองเห็นลู่ทางที่ต่างออกไป และยังอาจเห็นช่องโหว่ความผิดพลาดที่เรามี แต่การที่จะนำชาวต่างชาติมาอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันกับคนของเรานั้น เราจะต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของเขาด้วย เนื่องจากเขาอาจมีความต่างกับเราในหลายๆด้าน เช่นการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น คนฟิลิปปินส์อาจเป็นคนตรงเวลาอย่างมาก หากเราจะต้องทำงานกับเขาเราก็ควรที่จะให้เกียรติเขา เรียนรู้วิธีทางการทำงานของเขา นอกจากนี้ในด้านความคิดนั้นเขาอาจมีมุมมองที่ต่างออกไป จึงไม่ควรไปจำกัด หรือริดรอนความคิดเขา เพียงแค่คิดว่าเขาเป็นคนต่างถิ่น ไม่น่ารู้จักลูกค้า หรือตลาดธุรกิจดีเท่าเรา ซึ่งนั่นก็คือ การเคารพในสิทธิมนุษยชนของเขา เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น และเป็นผลดีต่อองค์กรมากที่สุด

ในมุมมองของข้าพเจ้ามองว่าปัจจุบันนี้โลกของเรานั้นอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ที่ได้ย่อโลกทั้งใบให้คนจากหลากหลายประเทศได้มาอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกันอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น ดังนั้นค่านิยมในการดำรงชีวิตต่างๆก็น่าจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเห็นได้จากเวทีการประกวดนางงามระดับโลกในปัจจุบันที่มีคนผิวสีได้รับรางวัลมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าการกีดกันทางด้านสีผิวนั้นได้ลดลงไปจากสังคมโลกนี้มาก รวมทั้งการก้าวเข้ามาเป็นประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกาของ บารัก โอบาม่านั้น ได้ชี้ให้เห็นว่าคนในยุคปัจจุบันได้มองข้ามผ่านความต่างในเรื่องสีผิวไปแล้ว ซึ่งก็เชื่อมโยงได้กับผู้ประกอบการธุรกิจทั่วไปว่าควรจะคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนไว้เป็นหลักต้นๆในการดำเนินธุรกิจ เพราะไม่เพียงแต่อาจจะทำให้ธุรกิจพัฒนาได้อย่างที่กล่าวมาด้วยการปฏิบัติต่อพนักงานต่างชาติหรือพนักงานที่มีความแล้ว การแสดงให้สังคมภายนอกเห็นด้วยว่าธุรกิจของเรานั้นใส่ใจในหลักการสิทธิมนุษยชนด้วยการสนับสนุนและปกป้องสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่างๆนั้น ก็จะเป็นผลดีกับธุรกิจทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร


[1] http://www.cookiecoffee.com/food/58147/dunkin-charcoal-why-donut-black-racist/

[2] http://www.unigang.com/Article/16138

หมายเลขบันทึก: 568423เขียนเมื่อ 18 พฤษภาคม 2014 04:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 พฤษภาคม 2014 04:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท