ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่รองรับสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศไทยก็ได้มีการทำภาคีร่วมกับอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน จากการที่ได้ศึกษษมาประเทศไทยนั้นใช้ระบบแบบทวินิยมคือไม่ได้นำกฎหมายระหว่างประเทศมาใช้โดยตรงแต่อย่างไรก็ดีกฎหมายไทยเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนก็ได้รับอิธิพลจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ซึ่งสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยมีดังนี้
สนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนมีลักษณะเป็นสนธิสัญญาพหุภาคี กล่าวคือ เป็นสนธิสัญญาที่มีรัฐมากกว่าสองรัฐขึ้นไปเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา ซึ่งกระบวนการในการทำสนธิสัญญามีหลายขั้นตอน นับตั้งแต่การเจรจา การให้ความยินยอมของรัฐเพื่อผู้พันตามสนธิสัญญาโดยการลงนาม การให้สัตยาบัน การภาคยานุวัติ และบางรัฐอาจตั้งข้อสงวน หรือตีความสนธิสัญญา และเมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนในการทำสัญญาครบถ้วนแล้ว ภาคีก็มีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาต่อไป การเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาก่อให้เกิดพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับสนธิสัญญา มิฉะนั้นอาจต้องรับผิดในทางระหว่างประเทศ ดังนั้น เมื่อประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยก็ต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญาดังกล่าว
พันธกรณีระหว่างประเทศเดี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของไทยในปัจจุบันไทยเป็นภาคีในสนธิสัญญา ด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งสหประชาชาติถือเป็นสนธิสัญญาหลักจำนวน 7 ฉบับ[1]ได้แก่
ซึ่งอนุสัญญาที่ข้าพเจ้าสนใจคือ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Woman - CEDAW) โดยจากการพิจารณาถึงเหตุการในปัจจุบันแล้ว สามารถพบได้ว่ามีการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาดังกล่าว เช่น การที่ประเทศไทยขอสงวนไม่ผูกพันตามอนุสัญญาเดิมอนุสัญญาข้อ 11 ว่าด้วยเรื่องการขอโอกาสเข้าทำงานของสตรี[2] ทำให้เห็นได้ว่าหลายๆบริษัท ได้มีการสงวนตำแหน่งบริหาร ให้เป็นของผู้สมัครเพศชาย ถึงแม้จะไม่ได้ระบุเพศในการรับเลือกไว้แต่ตามปกติประเพณีถึงแม้เพศหญิงจะมีความรู้ความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่มีแม้โอกาสที่จะขอเสนอตัวเข้ารับสมัครงานเช่นเดียวกับเพศชายไม่ ดังนั้นจึงเป็นการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
***จากการที่ได้ศึกษามาข้าพเจ้าเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการรับรองสิทธิมนุษยชนไว้ แต่เนื้องจากใช้แบบทวินิยมคือใช้กฎหมายภายในประเทศเป็นหลักก่อนจึงอาจเกิดปัญหาเรื่องการขัดกันของกฎหมายได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าในปัจจุบันปัญหาดังกล่าวก็ได้มีขึ้นหลายกรณี ทางรัฐจึงควรปรับปรุงกฎหมายเรื่องสิทธิมนุษยชนให้สอดคล้องกับนานาประเทศมากขึ้นเพื่อความเป็นอารยประเทศของไทยต่อไป
[1] http://www.nhrc.or.th/2012/wb/th/print_content.php
ไม่มีความเห็น