การมีสุขภาพที่ดีเป็นหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญ เนื่องจากการที่บุคคลจะใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ได้อย่างปกติสุขนั้น เขาเหล่านั้นก็ต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยต่างๆ จึงมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550 มาตรา51-55 และในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 มาตรา 5 วรรค 1 ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพตามที่กำหนดโดยพระราชบัญญัตินี้"[1]
แต่เป็นประเด็นให้ต้องพิจารณาว่า บุคคลผู้ทรงสิทธิในการมีสุขภาพดีนั้น หมายความถึงเฉพาะบุคคลที่มีสัญชาติไทยเท่านั้นหรือไม่ หรือจะหมายความรวมถึง มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีสัญชาติใดก็ตามที่เป็นผู้ทรงสิทธิในการมีสุขภาพดีได้ ซึ่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน[2] ข้อ 25 (1) ได้บัญญัติไว้ว่า ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพอันเพียงพอสำหรับสุขภาพและความเป็นอยู่ดีของตนและครอบครัว รวมทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการดูแลรักษาทางการแพทย์และบริการสังคมที่จำเป็น และมีสิทธิในความมั่นคงในยามว่างงาน เจ็บป่วยพิการ เป็นหม้าย วัยชรา หรือขาดอาชีพอื่นในพฤติการณ์ที่นอกเหนืออำนาจของตน จึงสรุปได้ว่ามนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะมีสัญชาติใดนั้นเป็นผู้ทรงสิทธิดังกล่าวทั้งสิ้น
จากกรณีศึกษา น้องผักกาดที่เกิดที่โรงพยาบาลแม่สอด ซึ่งไม่ได้รับการแจ้งเกิด และป่วยด้วยโรคสมองบวม มารดาของน้องผักกาดซึ่งเป็นคนเมียนมาร์จึงฝากน้องผักกาดไว้ที่โรงพยาบาลพบพระและไม่กลับมาอีกเลย ส่งผลให้น้องผักกาดไม่ได้รับการรับรองจากรัฐใด จึงกลายเป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาติไป
อย่างไรก็ตาม เหตุที่เป็นคนไร้รัฐไร้สัญชาตินั้นไม่ได้ทำให้สิทธิที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นของน้องผักกาดหายไปแต่อย่างใด ตราบที่น้องผักกาดเป็นมนุษย์ก็ย่อมไม่เสียสิทธินี้ไป ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการที่น้องผักกาดไม่ได้รับความช่วยเหลือเพราะเหตุไม่มีสัญชาติไทยนั้น เป็นการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วนั่นเอง
[1] “พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545.” (ออนไลน์).http://www.thailandlawyercenter.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538976332&Ntype=19(สืบค้นวันที่ 17พฤษภาคม 2557)
ไม่มีความเห็น