จากความเป็นจริงแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจทุกคนโดยทั่วไปแล้วสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอันดับแรกคือเงินหรือกำไรที่จะได้จากการประกอบธุรกิจ แต่เมื่อการทำธุรกิจได้พัฒนามาเรื่อยๆ จนในปัจจุบันเนื่องจากธุรกิจรูปแบบเดิมหลายประเภทไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทำให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ได้กำไรมหาศาลแต่อาจกระทบต่อสิทธิมนุษยชน
ยกตัวอย่างเช่น
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า มีการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่พอใจ มีกระแสต่อต้าน จนอาจปัญหาในสังคมทำให้เกิดความวุ่นวายทะเลาะกันได้ ดังนั้น แม้ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องกระทำการต่างๆที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกิจของตนดำรงอยู่และเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ แต่ผู้ประกอบธุรกิจก็ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่น โดยหลีกเลี่ยงไม่ กระทำการที่เป็นการกระทบหรือขัดแย้งกับสิทธิมนุษยชน ไม่ควรยั่วยุให้เกิดปัญหาเป็นการก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆที่มีความเสี่ยงว่าจะเกิดปัญหาได้ โดยจะทำสิ่งใดก็ควรคิดถึงผู้อื่นที่อยู่บริเวณนั้น หรือบุคคลซึ่งอาจได้รับผลกระทำจากการกระทำนั้นได้
และในทางกลับกัน การกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ย่อมมีผลกระทบต่อตัวผู้กระทำด้วย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจจะเป็นทางชื่อเสียง หรือความยากลำบากในการดำเนินกิจการ เช่น กรณีที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อที่กล่าวไปแล้วข้างต้น การสร้างเขื่อนอาจกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารระดับโลก ย่อมกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจด้วย ไม่มากก็น้อย หรืออาจถูกขัดขวางการดำเนินธุรกิจโดยผู้ที่เสียประโยชน์จากธุรกิจดังกล่าว ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจควรต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนกระทำการใดๆก็ตาม
อ้างอิง
- กระทรวงการต่างประเทศ.ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน.[ออนไลน์]. http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/bo…
-จริยธรรมกับการปล่อยสินเชื่อ กรณีเขื่อนไซยะบุรี. แหล่งที่มา
:http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content...
-กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR). แหล่งที่มา :http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/ic...
ไม่มีความเห็น