ปัญหาสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยที่เชื่อมต่อกับสังคมโลก
สิทธิมนุษยชน (Human Right) หมายถึง สิทธิที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรอง ทั้งความคิดและการกระทำที่ไม่มีการล่วงละเมิดได้ โดยได้รับการ คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ และกำหนดให้รัฐบาล ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐดำเนินการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน และสนธิสัญญาระหว่างประเทศ[1]
พันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยเป็นภาคีสนธิสัญญา ด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งสหประชาชาติถือเป็น สนธิสัญญาหลัก จำนวน 5 ฉบับได้แก่
๑. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
๒. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
๓. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
๔. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
๕. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
๑. สังคมไทยเป็นสังคมที่ต่างเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นไทยโดยไม่มีการแตกแยก ยอมรับความหลากหลาย มีจิตใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน จึงไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องการแบ่งชนชั้น หรือเผ่าพันธุ์ แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ยังปรากฏอย่างต่อเนื่อง เช่น การละเมิดสิทธิเด็ก เช่น การละเมิดทางเพศ แรงงาน ยาเสพติด อบายมุข ความรุนแรงในการลงโทษ การละเมิดสิทธิสตรี ในสังคมไทยยังปรากฏการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิงในครองครัว ความรุนแรงทางเพศในที่สาธารณะ ที่บ้าน ที่ทำงาน สถานกักกัน การล่อลวงทางอินเตอร์เน็ต โรงภาพยนตร์ บนรถเมล์
๒. การเข้ามามีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน บุคคลควรมีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนใน สังคมไทยต่อไปนี้ คือ ศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยที่พัฒนาความรู้ ทักษะ ค่านิยมในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของตนเอง บุคลิกภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชาติบ้านเมืองอย่างมีอิสรเสรีภาพ การใช้สิทธิทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมให้มีประสิทธิภาพ และการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
องค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย มีดังนี้
๑. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
๒. ศาลต่าง ๆ ได้แก่ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรรม ศาลปกครอง และศาลทหาร
๓. มูลนิธิเพื่อพัฒนาเด็ก
๔. มูลนิธิสงเคราะห์เด็กยากจน ซี.ซี.เอฟ
๕. มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก
๖. มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี
องค์กรสิทธิมนุษยชน ระดับโลก
๑. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
๒. กองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF)
กรณีศึกษา : โรฮิงยา ( การจัดกาคนหนีภัยความตาย )[2]
เนื่องจากรัฐบาลทหารพม่ามีความชิงชังต่อโรฮิงยาที่เป็นทหารรับจ้างของอังกฤษต่อสู้กับพม่าจนตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เมื่อรัฐบาลพม่าได้รับอิสรภาพ จึงได้ดําเนินการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยต่างๆในประเทศอย่างหนัก จากความสําคัญของปัญหาดังกล่าวสามารถสรุปสาเหตุการอพยพของชาวโรฮิงยาได้ดังนี้
๑. มุสลิมโรฮิงยาหรือชนกลุ่มน้อยอารกันเป็นกลุ่มที่ถูกทารุณกรรม ถูกขับไล่จากถิ่นที่อยู่และถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ตลอดจนถูกจํากัดสิทธิในด้านต่างๆ อาทิ การบังคับเวนคืนที่ดิน การเก็บภาษีในอัตราพิเศษเทียบเท่าชาวต่างชาติ การกําหนดบริเวณที่อยู่อาศัยและที่ทํากิน การห้ามเดินทางออกนอกบริเวณที่รัฐกําหนด การเกณฑ์แรงงานไปใช้โดยไม่ให้ค่าจ้าง ถูกห้ามสร้างสุเหร่าหรือมัสยิดใหม่ ที่มีอยู่เดิมจะถูกทําลาย โรงเรียนสอนศาสนาถูกสั่งปิด ขัดขวางการเข้าถึงสาธารณสุข ที่พักอาศัยและอาหารไม่เพียงพอ ถูกยึดทรัพย์สิน และมีข้อจํากัดด้านการสมรส
๒. รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับชาวโรฮิงยาเป็นประชาชนชาวพม่าโดยให้เหตุผลว่าประเทศพม่าเป็นเมืองพุทธแต่ชาวโรฮิงยาเป็นคนอิสลาม และชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่ไม่ยอมใช้ภาษาพม่าในการสื่อสาร
๓. รัฐบาลทหารพม่าออกกฎหมายว่าด้วยความเป็นพลเมืองของพม่าในปี พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งกําหนดว่าหากกลุ่มใดมีความเกี่ยวข้องกับขบวนการชนกลุ่มน้อยจะถูกตัดขาดจากการเป็นพลเมืองและต้องหลบหนีอพยพออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่หลบหนีไปบังกลาเทศ ปากีสถาน ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย และไทย บางส่วนที่ตกค้างอาศัยอยู่ตามค่ายผู้อพยพลี้ภัยตามแนวชายแดน ทําให้ชาวโรฮิงยากลายเป็นบุคคลไม่มีสัญชาติและเป็นผู้อพยพ
๔. ประเทศพม่าและบังกลาเทศมีข้อพิพาทกรณีที่รัฐบาลพม่าสร้างท่อก๊าซในรัฐอาระกัน โดยบังกลาเทศคิดว่าการสร้างท่อก๊าซดังกล่าว เป็นการบีบให้ชาวโรฮิงยาไม่มีที่อยู่อาศัยและต้องอพยพเข้าไปในประเทศบังกลาเทศ
๕. มีการปล่อยข่าวให้ผู้อพยพในเมืองค๊อกซ์บาซาร์ ประเทศบังกลาเทศ ว่าสามารถทํางานในไทยได้ และทางการมาเลเซียจะให้ที่ทํากิน จึงทําให้มีการลักลอบเข้าประเทศดังกล่าวมากขึ้น เพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า
สภาพปัจจุบันของโรฮิงยาในประเทศไทย ชาวโรฮิงยาลักลอบเข้าเมืองทางทะเล ด้านจังหวัดระนอง และ พังงา ซึ่งร้อยละ ๘๐ เป็นชาวโรฮิงยาที่มีภูมิลําเนาอยู่ในรัฐจิตตะกอง บังกลาเทศ และบางส่วนหลบหนีออกจากศูนย์อพยพที่เมืองค๊อกซ์บาซาร์ ส่วนที่เหลืออีกประมาณร้อยละ ๒๐ เป็นชาวพม่ามุสลิม เชื้อสายโรฮิงยาจาก จังหวัดมองดอ รัฐอารกัน ชาวโรฮิงยาทั้งสองกลุ่มลักลอบมาขึ้นบกที่ จังหวัดระนอง โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑ หลังจากนั้นเกิดการลักลอบเดินทางมาตามเส้นทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณจะทวีคูณขึ้นในทุกปี
กลุ่มมุสลิมโรฮิงยาที่หลบหนีเข้าประเทศไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่ม ดังนี้๑. กล่มโรฮิงยาที่เข้าร่ วมกับกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในบังกลาเทศ (RSO) ในการต่อสู้เพื่อเอกราชจากรัฐบาลทหารพม่า กลุ่มนี้จะผ่านการฝึกและมีประสบการณ์ด้านการใช้อาวุธและความรุนแรง
๒. กล่มโรฮิงยาที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมุสลิม หัวรุนแรง เป็นกลุ่มที่หนีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากแค้น และต้องการหา ชีวิตที่ดีกว่า
ผลกระทบต่อประเทศไทย
การที่ชาวโรฮิงยาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบต่อไทยในด้านต่างๆ ดังนี้
๑. ด้านสังคมจิตวิทยา หากมีการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ชาวมุสลิมโรฮิงยา กลุ่มดังกล่าวจะต้องมีปัญหาเนื่องจากประเทศต้นทาง (ประเทศพม่า) จะไม่ยอมรับว่าเป็นบุคคลสัญชาติพม่าทําให้ต้องตกค้างเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอยู่ในประเทศไทย โดยบุตรหลานของกลุ่มเหล่านี้จะเป็นเด็กไร้สัญชาติ ก่อให้เกิดปัญหาและภาระด้านสังคม ฯลฯ แก่ประเทศไทยมากขึ้น ๒. ด้านความมั่นคง ๒.๑ ชาวมุสลิมโรฮิงยา ที่ลักลอบเข้ามาพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน ส่วนหนึ่งจะมีพฤติการณ์ไปร่วมกับกลุ่มผิดกฎหมาย เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติหลายรูปแบบ อาทิ การค้ามนุษย์ ปลอมแปลงหนังสือเดินทาง การค้าสิ่งผิดกฎหมาย ยาเสพติด อาวุธสงคราม ฯลฯ ตลอดจนการตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากผู้ลักลอบเข้าเมืองฯ ๒.๒ เกิดขบวนการนําพาชาวมุสลิมโรฮิงยาจากพม่าเข้าไทย และขบวนการนําพาชาวมุสลิมโรฮิงยาจากไทยไปมาเลเซีย หรือกลุ่มประเทศมุสลิม ๒.๓ มีการจัดตั้งกลุ่ม Burmese Rohingya Association in Thailand (BRAT) เคลื่อนไหวในไทย เพื่อเรียกร้องสิทธิขอสถานะอยู่ในประเทศไทยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทย-พม่า ๓. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากแรงงานในภาคอุตสาหกรรม หรือเกษตรกรรมบางประเภท เช่น การประมง กิจการต่อเนื่องจากการประมง การเกษตร แรงงานไทยทั้งในและนอกพื้นที่ไม่ยอมทํางานประเภทดังกล่าว ทําให้ผู้ประกอบการต้องใช้แรงงานต่างด้าว ประกอบกับแรงงานต่างด้าวเป็นแรงงานราคาถูก ทํางานคุ้มค่ามากกว่าแรงงานไทย จึงเป็นแรงผลักดันให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่จํานวนคนไทยว่างงานมีเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนจะส่งผลกระทบต่ออัตราค่าแรงพื้นฐาน ๔. ปัญหาด้านสาธารณสุข ชาวโรฮิงยาที่หลบหนีเข้ามาใช้แรงงานในประเทศไทย อาจเป็นพาหะนําพาโรคติดต่อร้ายแรงมาสู่คนไทย เช่น โรคมาเลเรีย โรคเท้าช้าง
๕. ปัญหาโรฮิงยาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นปัญหาที่มีมานานใน ๑ ปี ที่ผ่านมาองค์กรนานาชาติโดยเฉพาะ UNHCR เพิ่งให้ความสนใจและโจมตีประเทศไทยว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในขั้นตอนการดําเนินการจับกุมและผลักดันกลับประเทศต่อกลุ่มคนเหล่านี้อันสืบเนื่องมาจากการเสนอข่าวของสํานักข่าวต่างชาติ ที่เสนอภาพด้านลบต่อการทํางานของเจ้าหน้าที่ทางการไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพและประเทศ ดังนั้นจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
แนวทางการแก้ไขปัญหา
๑. รัฐบาลต้องกําหนดนโยบาย มาตรการและแนวทางปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาโรฮิงยาอย่างเป็นระบบ ตลอดจนดําเนินการต่อ ผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด โดยมีกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในเป็นหน่วยรับผิดชอบ หลักในการดําเนินการแก้ไข ๒ หารือ/ประชุมกับประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้อง อาทิ พม่า บังกลาเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ UNHCR เพื่อร่วมหาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา๓ นําประเด็นโรฮิงยาเข้ าเสนอในการประชุม ASEAN SUMMIT ครั้งที่ ๑๔ เพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน๑.๔ กรณีที่มีข้อเรียกร้องให้จัดตั้งศูนย์พักพิง หรือศูนย์ผู้ลี้ภัยให้ แก่ชาวโรฮิงยา ทางการไทยควรยืนยันจุดยืนที่เห็นพ้องร่วมกับ UNHCR ว่าสถานภาพของชาวโรฮิงยา คือ ผู้อพยพ เพื่อเหตุผลด้านเศรษฐกิจไม่เข้าข่ายผู้ลี้ภัย และอาจยอมรับให้พักพิงได้ชั่วคราวในระยะสั้นด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศที่สามเท่านั้น
๔. เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเคร่งครัดในการปฏิบัติงานตามกฎหมายและหลักมนุษยธรรมตามความเหมาะสม ๕. เร่งปราบปรามเจ้าหน้าที่ และผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและค้ามนุษย์อย่างจริงจังและเด็ดขาด
(เขียนบทความวันที่ 16 เมษายน 2557)
[1]ความหมายของสิทธิมนุษยชน แหล่งข้อมูล : http://kittayaporn28.wordpress.com ( ค้นข้อมูล 16 เม.ย.2557 )
[2]ข้อเท็จจริงโรฮิงยา แหล่งข้อมูล : file:///C:/Users/i5N43S/Downloads/rhohingya.pdf ( ค้นข้อมูล 16 เม.ย.2557 )
ไม่มีความเห็น