บันทึก: ย่ำแดนกิโมโน โดราเอมอน (ตอน 1 เตรียมตัวก่อนไป)


บันทึกย่ำแดนกิโมโน โดราเอมอน

สงกรานต์ปีนี้ได้พาครอบครัวไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกัน ตามความใฝ่ฝันของเจ้าตัวเล็ก (ป๊อกแป๊ก) นัยว่ายังไม่เคยไปอยู่เพียงผู้เดียว อันเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอย่างที่สุด สู้อุตส่าห์เก็บดาวลงในสมุดบันทึกความดีมาเป็นแรมปี ในที่สุดความฝันนั้นก็เป็นจริง และเหมือนทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างประเทศ ความแตกต่างของทุกสิ่งทุกอย่างทำให้การเดินทางนั้นๆห่างไกลจากคำว่า "routine" หรือจำเจ (อันที่จริง การเดินทางในประเทศก็ไม่จำเป็นต้องจำเจ แต่ไปที่อื่นมันชัดกว่าเยอะ) เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆน่าสนใจทุกครั้ง นอกเหนือจากรูปถ่ายกว่าพันรูปที่ถ่ายกันอย่างไม่บันยะบันยัง เพราะเป็น digital (เด็กสมัยนี้คงไม่เข้าใจถ้าพูดถึงการถ่ายรูปที่ต้องมีการล้างรูป อัดรูป) บันทึกนี้จะเน้นปกิณกะ ไม่เน้นตัวเที่ยวจริงๆ (ซึ่งขอคิดดูก่อนว่าจะบันทึกดีหรือไม่ดี) โดยจะว่าด้วยการตระเตรียม การเดินทาง และเกร็ดต่างๆในช่วงเวลานั้นเท่านั้น

การเตรียมตัว

นอกเหนือจากตอนไปนิวซีแลนด์ครั้งเดียวที่ไปจองที่พักกันดาบหน้า ครั้งนี้ก็จองที่พักทุกแห่งไปก่อน โดยจองผ่าน internet มีข้อควรรำลึกดังต่อไปนี้

  1. เคยใช้บริการสองที่ คือ booking.com กับ agoda มีข้อดีข้อเสีย แต่หลังจากครั้งล่าสุดที่ไป Gifu จองกับ agoda ปรากฏว่าในเวปให้แผนที่ผิดเมือง (เป็นความผิดพลาดของเวป) เราจองโรงแรมผิดเมือง โชคดีที่จองเสร็จ เราก็สำรวจแผนที่เมืองว่าจะเดินทางไปที่ประชุมอย่างไร เลยรู้ทันว่ามันเป็นคนละเมืองกัน ต้องรีบโทรติดต่อ ตอนแรกมันมีการจะยึกยักปรับค่าจองเรา (เป็นห้องชนิด no-refund) เลยต่อว่ามันว่าไม่ใช่ความผิดของเรา เวปมันให้แผนที่ผิดเมือง ทำอย่างนี้ไม่ได้ พูดกับมันอยู่เกือบชั่วโมง มันถึงยอม cancel ให้กับเรา ความผิดครั้งนี้ทำให้ทำใจลำบากที่จะกลับไปใช้อีก
  2. booking.com มีข้อที่เราชอบมากคือ มักจะมีรายการโรงแรมที่จองห้องได้เลย และ no cancellation fee หมายความว่า เรายกเลิกห้องที่จองได้ ถ้าเผอิญไปหาเจอที่ที่ดีกว่า โดยไม่เสียค่าปรับ มักจะอนุญาตให้ยกเลิกจนถึง 24 ชั่วโมงก่อนวันจอง ทำให้เรามักจะไม่ต้องคิดมาก จองไปเลยทันทีที่เจอ ถ้าจะเปลี่ยนก็ไม่ลำบาก (และข้อสำคัญ ไม่เสียค่าปรับ)
  3. ค่าห้องเปลี่ยนแปลงไปตามการจองล่วงหน้า อันนี้เรียนรู้ด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อย เพราะเราจองโรงแรมที่โตเกียวล่วงหน้าหกเดือน พอหลังปีใหม่ ต้องปรับเวลานิดนึง เพราะตั๋วเครื่องบินเต็ม ขยับออกไปหนึ่งวัน และเปลี่ยนจากค้าง 4 คืน เป็นสามคืน ปรากฏว่าเราจะทำแค่ edit ไม่ได้ ต้อง cancel (ซึ่งฟรี) และจองใหม่ ถึงพบว่ามาเจออีก rate หนึ่งซึ่งแพงกว่าเดินเยอะพอประมาณ เพราะตอนนี้เค้าทราบแล้วว่ามันเป็นช่วงซากุระบานเต็มที่พอดิบพอดี ถือเป็น high season แบบนี้ก็ก้มหน้ารับกรรมไป ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรเหมือนกัน เพราะเรื่องตั๋วเครื่องบินนี่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก ไม่ค่อยตรงไปตรงมาชัดเจนเท่าไหร่ ขนาดบอกจองล่วงหน้าหลายๆเดือนก็ใช่ว่าจะได้ มันมีพวก package tour หรืออะไรมาแย่งเราเยอะแยะ โดยเฉพาะที่ business class ซึ่งมีเก้าอี้น้อยกว่าธรรมดา
  4. ถ้าเผอิญเราคิดว่าช่วงที่ไปเป็น peak หรือ high season แนะนำให้จองไปล่วงหน้าเลย 5-6 เดือน ซึ่งสำหรับคนไทยอาจจะคิดว่านานมาก แต่จากประสบการณ์ ขนาดนี้ถือว่าปกติสำหรับคนตะวันตก ฝรั่งจอง holiday package ล่วงหน้าเป็นปี เช่น คริสต์มาส หรืออีสเตอร์ อาจจะยกเว้นสำหรับ tour back-pack หรือ very VIP ที่ไม่เกี่ยงราคา แต่สำหรับตลาดกลาง จองล่วงหน้าไว้จะสะดวก และมีที่เลือกเยอะกว่าเยอะ
  5. ไปญี่ปุ่นสามารถซื้อตั๋วรถไฟเฉพาะของนักท่องเที่ยวได้ แต่เดิมต้องจองจากนอกประเทศ และล่วงหน้า แต่เดี๋ยวนี้เป็นยุค internet จะจองตอนไปถึงญี่ปุ่นแล้วก็ได้ ขอให้ใช้ passport กับ print-out เที่ยวบินกลับของทุกคนไปแสดงตอนรับตั๋วตามสถานีรถไฟใหญ่ๆ ก็พอ ข้อควรคิดคือ "คุ้มหรือไม่" เพราะตั๋วแบบนี้มักจะเป็นตั๋วรถไฟข้ามเมือง ถ้าเราไม่ได้เดินทางเมืองต่อเมือง แต่อยู่แค่เมืองเดียว หรือแค่สองเมืองเท่านั้น ก็อาจจะไม่คุ้ม อีกเรื่องคือการ print-out flight ticket ไปแสดง เนื่องจากเราไม่ค่อยจะได้พิมพ์กันแล้ว อาจจะลืม และหาที่พิมพ์ไม่ได้ ครั้งนี้โชคดีที่ lounge การบินไทยที่หาดใหญ่สามารถพิมพ์ email ได้ ก็เลยนั่งพิมพ์ก่อนบินมากรุงเทพฯทันท่วงที
  6. เที่ยวญี่ปุ่น (หรือที่ไหนก็ตาม) จะเดินเยอะ อุปกรณ์การเดินจะมีผลต่อดรรชนีความสุขในการเดินทางอย่างมีนัยยะสำคัญ ถ้าหากจะต้องซื้อรองเท้าใหม่สุดจ๊าบไปงานนี้ ก็ขอให้เป็นรองเท้าที่จะไม่กัดแทะเท้าเรา หลีกเลี่ยงรองเท้าหนัง ส้นสูงที่เหมาะสำหรับพวก masochist โดยส่วนตัวรองเท้าเที่ยวควรเน้น function มากกว่าความสวยงาม ถุงเท้าใหม่ๆเพียงพอก็สำคัญ เพราะถ้าซักไม่ทัน หรือว่าใส่ซ้ำจนซกมก จะมีผลต่อ personal hygeine และกลิ่นที่โชยออกมา ในเมืองหนาวกลิ่นทำนองนี้ทำเสียประสาทได้เลย underpants หรืออะไรก็ตามที่จะต้องซัก เน้นผ้าแห้งเร็วจะดีมาก
  7. plug และอุปกรณ์ charge device ต่างๆ เตรียมไปให้พอ อย่าไปหวังยืมจากโรงแรม เพราะถ้าไม่มี จะเกิดความหายนะที่ gadgets ของเราหมดพลังไปเฉยๆ ปกติเราต้องมี iPad, iPhone, camera batteries, pocket wifi ที่ต้อง charge ทุกวัน
  8. สำหรับผู้ที่ขาด internet ไม่ได้ ก็มีการเตรียมตัวพิเศษคือ portable pocket wifi ที่เป็นอุปกรณ์พกพา ทำให้เราเหมือนมี high-speed wifi ติดตัวไปทุกที ทุกเวลา อันนี้จะไม่จำเป็นถ้าใครจะไปประชุมอย่างเดียว หรืออยู่แต่ในโรงแรมอย่างเดียว ซึ่งมักจะมี free wifi ให้อยู่แล้ว แต่ถ้าใครต้องการ online ทุกที่ ทุกเวลา แม้แต่ตอนเดินทางในรถ ในรถไฟ ในเรือ ใน park ในสวน ในวัด ฯลฯ อุปกรณ์นี้จะสะดวกมาก
    • ที่ญี่ปุ่นมีสองบริษัทใหญ่ๆที่พอ search ปุ๊บก็เจอ คือ Global advanced communications กับ Japan Wireless Company อุปกรณ์เหมือนกันและราคาใกล้เคียงกันมาก
    • แต่ที่ผมใช้คืออีกบริษัท คือ wifi-hire.com เพราะว่าตอนจอง ไอ้สองบริษัทใหญ่นั้นของหมด!!! แสดงว่าคนนิยมมาก ถ้าใครอยากใช้ ควรจะติดต่อล่วงหน้าพอสมควร เช่นสักเดือนนึง
    • ทุกบริษัทจะมี service คล้ายๆกัน คือ เราจะไป collect device ที่ airport ก็ได้ (ถ้านอกเวลา office อาจจะมี charge เพิ่ม) หรือว่าให้เขาส่งไปที่โรงแรมที่เราพักก็ได้ (ต้องมีชื่อโรงแรม และมี pre-booking) เนื่องจากผมไปถึง 6 โมงเช้า ก็เลยให้เขาส่งไปที่โรงแรม ก็สะดวกดี แต่เราอาจจะไม่ได้ใช้ในวันนั้น ถ้าเขาไปส่งสาย ลองติดต่อรายละเอียดของแต่ละบริษัทดู เพราะคิดอัตรารายวัน วันละประมาณ 1000 yens แต่ถ้าหลายๆวัน เช่น 5 วัน 10 วัน ก็ค่อยๆลดลงมา เช่น 10 วันอาจจะเหลือแค่ 6000+ หรือ 15 วันเหลือ 9000+ เป็นต้น
    • ตอนคืนเครื่อง จะส่งไปรษณีย์กลับ หรือว่ามา drop ที่ counter สนามบินก็ได้ เช็คดูแต่ละบริษัท ของผมคือ wifi-hire มี counter ที่ Kansai Airport เปิดถึงสองทุ่ม ก็สะดวกดี เราได้ใช้จนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนกลับบ้านเลย บางบริษัทถ้าไม่ติดต่อล่วงหน้าว่าจะคืนที่สนามบินอาจจะคิดค่าบริการอีกประมาณ 500 yens
    • เครื่องพวกนี้ เราอาจจะพ่วงได้ถึง 5 เครื่องพร้อมๆกัน บ้านผมก็ต่อ net ได้กับ iPhone 3 เครื่องและ iPad หนึ่งตลอดงาน ใช้งานง่าย มีคู่มือ (ถ้ามันให้มาเป็นภาษาญี่ปุ่น ก็ส่ง email ไปทวงคู่มือภาษาอังกฤษ เค้าจะส่ง pdf file มาให้ทันที)
    • battery มักจะใช้ได้ 8 ชั่วโมง ถ้าวางแผนดีๆ น่าจะ cover วันต่อวันได้สบายๆ
  9. สำหรับคนที่ไม่ใช้ internet ผมก็ยังแนะนำให้เอา iPad หรือ iPhone ไป เพราะว่า google map นั้น ไม่ต้องใช้ wifi หรือ online ก็ยังทำงานได้ (อย่าถามว่ายังไง เพราะไม่รู้) มีประโยชน์มากในการเดินถนน เพราะมัน locate ตำแหน่งที่เรายืน บอก co-ordinate ไปที่ต่างๆได้ดีมาก ไม่มีทางหลง เผลอๆจะดีกว่าแผนที่กระดาษที่โรงแรมมีให้ซะอีก จะเดินไป park จะหา subway จะหา exit หรือสถานที่ท่องเที่ยว พวกเมืองใหญ่ๆจะสะดวกมาก เหมือนกับเรามี GPS ส่วนตัว
  10. ศึกษาพวก pass cards ต่างๆไปล่วงหน้าก็ดี เพราะมีเยอะ และงงได้ว่าจะใช้อันไหนดี มีทั้งแบบ one-day, two day, etc ขึ้นกับสภาพการใช้งานของแต่ละคน basic rule คือ ยิ่งหลายวันยิ่งถูกลงเรื่อยๆ และข้อสำคัญ มีราคาเด็ก ราคา senior ด้วย ราคาเด็กจะถูกลงไปครึ่งนึง!! แต่ต้องซื้อ passcard เด็กตั้งแต่แรก (บทเรียนนี้เจ็บปวด เพราะผมซื้อ suica card (อีกยี่ห้อคือ PASMO) ผู้ใหญ่ให้ป๊อกแป๊กใช้อยู่สามวัน ขาดทุนไปเยอะเหมือนกัน) suica card หรือ PASMO card ก็คล้ายๆกับ rabbit card ที่เราใช้ในกทม. ซื้อของบางร้านก็ได้ นอกเหนือจากซื้อตั๋วรถไฟใต้ดิน รถเมล์ มันจะมีค่าธรรมเนียมใน card อยู่ แต่ card นี้ไม่ต้องรีบคืนก็ได้ มีอายุใช้งานเติมเงินไปเรื่อยๆได้สิบปี ถ้าคิดว่าชาตินี้จะไม่กลับไปอีก ก็เอาไปคืนแลกเงินประกันกลับมา แต่ถ้าลืมคืน แต่อาจจะกลับไปใหม่ ก็เก็บไว้ สำหรับพวกที่ไปประชุม เดี๋ยวนี้ fashion ใหม่คือ organizer มักจะแถมบัตรประเภทนี้มากับการลงทะเบียนประชุมด้วย เพราะฉะนั้น ตอนซื้อตั๋วเข้าเมืองก็อาจจะยังไม่ต้องรีบหา suica card มาใช้ ซื้อตั๋วธรรมดาๆ single trip เข้าเมืองก็พอ รอ card จากที่ประชุมแทน

หมายเลขบันทึก: 566414เขียนเมื่อ 21 เมษายน 2014 10:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 เมษายน 2014 13:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

* ยินดีกับน้องป๊อกแป๊กด้วยค่ะ...ไปเที่ยวต่างแดนยุคนี้สะดวกรวดเร็วในการวางแผนเดิน

ทางมากๆ

* เก็บภาพไปเยือนญี่ปุ่น เมื่อสามสิบปีก่อน มาฝากค่ะ



อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท