"อำนาจ..ในตัวเอง"


 

                                          

 

                                                               นากู

             เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนเราเมื่ออยู่ในสังคม ชุมชน กลุ่ม ห้อง มักจะมีรัศมีของใครบางคนโดดเด่น ฉายออร่าออกมาให้เห็น รัศมีของแต่ละคนจะมีไม่เหมือนกัน บ้างก็เกิดมาพร้อมตั้งแต่เกิด บ้างก็แสวงหาเอาเอง บ้างก็ถูกมอบให้ บ้างก็ธรรมชาติสรรสร้างวางใส่ไว้ บางคนอาจจะบอกว่า เป็นบุญ เป็นโชค วาสนา ปารมี หรือโอกาส ก็แล้วแต่ทัศนะแตกต่างกันไป

             เมื่อมีคุณสมบัติดังกล่าว ผู้เขียนเชื่อว่า ย่อมส่งผลต่อบุคคลในสังคมในทางจิตวิทยา เนื่องจาก รัศมีเหล่านี้ คือ "อำนาจ" ที่สามารถทำให้คนอื่นสยบหรืออ่อนไหวหรือยอมรับในความเป็นของบุคคลนั้นได้ เหตุผลอย่างหนึ่งคือ เราไม่มีเหมือนคนนั้น หรือไม่เหมือนบุคคลนั้น แต่อย่าเพิ่งมองข้ามตนเองหรือชื่นชมคนอื่น จนลืมมองรัศมีของตนเองข้างใน

             ทุกคนมีศักยภาพหรืออำนาจในตัวเอง ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง อยู่ที่ว่าเราจะเห็นหรือใช้มันให้เป็นประโยชน์อย่างไร จะใช้ให้เป็นคุณต่อตนเองได้อย่างไร อำนาจเหล่านี้ มีได้ทั้งคุณและโทษ กล่าวคือ มันสามารถทำลายตนเองก็ได้ สามารถทำลายคนอื่นก็ได้ หากใช้ในทางสร้างสรรค์ขอเรียกว่า "พลังงาน" หากใช้ในทางทำลายขอเรียกว่า "พลังโง่" 

            ในวิถีชีวิตของเราแต่ละวัน เราเกี่ยวข้องกับอำนาจหรือรัศมีเหล่านี้อยู่ประจำ เช่น ในครอบครัว มีพ่อแม่เป็นผู้มีอำนาจหรือรัศมีต่อลูก ในขณะเดียวกันลูกก็อาจสร้างรัศมีขึ้นมาเทียมพ่อแม่ได้ด้วย ในสังคมก็มีผู้นำที่มีอำนาจในการนำพา ในขณะเดียวกัน ผู้ตามก็อาจส่องรัศมีออกมาได้ด้วย สาวสวย ผิวขาว น่ารัก รูปร่างสมบูรณ์แบบก็มีอำนาจ มีรัศมีดึงดูดต้องตา ต้องใจชายหนุ่มได้ ส่วนหนุ่มหล่อ ก็เช่นกัน

             ดูเหมือนว่า ทุกสรรพสิ่งจะมีออร่าหรือรัศมีของตัวเองในตัว จนสามารถดึงดูดให้สิ่งอื่นสนใจ อยากได้ อยากครอบครอง ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลงใหล หลงมนต์ ถูกดึงดูด จนเสียจุดยืนของใจได้ ในขณะเดียวกัน เราเองก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลงใหล คลั่งไคล้ได้เช่นกัน เช่น นักร้อง ดารา พิธีกร ผู้นำ สัตว์เลี้ยง ของเล่น เครื่องมือสื่อสาร รถยนต์ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า อาหาร ฯลฯ

             ผู้เขียนมาคิดดูแล้ว เราเองก็หลงใหลไปตามรัศมีของสิ่งของหรือบุคคลในแต่ละวัน ไม่ว่างเว้น หากมองในแง่โลกทัศน์ เรากำลังถูกครอบงำด้วยสรรพสิ่ง สิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม จากคุณสมบัติของโลก เพราะเราอยู่ในโลกและอิงอาศัยโลกให้อยู่ได้ มองในแง่ชีวทัศน์ เรากำลังสร้างกลไก ให้คนอื่น สัตว์อื่น สนใจ หรือสนใจสัตว์ และคนอื่น เพื่อให้ตนเองได้พอใจหรือตอบสนองความต้องการของตนเองจนเกิดความสุขขึ้นมา นี่คือ ลักษณะอำนาจที่มีอยู่ในตัวเรา สรรพสิ่ง สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลายเป็นมนต์เสน่ห์ของกันและกัน

                            

                                            นวย    

             อย่างไรก็ตาม ขอหยิบยกเอาอำนาจหรือรัศมีของมนุษย์ ที่ฉายออร่าออกมาอวดต่อสายตาคนอื่น ทั้งที่จงใจและไม่ได้จงใจดังนี้

             ๑) "อำนาจในรูปลักษณ์" (Figure) หมายถึง รูปลักษณ์ รูปร่างของแต่ละคน ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่ดึงดูดคนอื่น จนคนอื่นหลงใหล หลงรักได้ คนนั้น มีรูปร่างหล่อ สวย สมบูรณ์ สมส่วน กลายเป็นอุดมคติของคู่ครองของเพศตรงข้ามไป ไม่แปลกใช่ไหมที่ดารา พิธีกร พรีเซ็นเตอร์ นางแบบ นายแบบ ฯ ต้องมีรูปร่างหล่อ สวย ดูดี ปัจจุบัน ต้นแบบของรูปลักษณ์จะออกไปทางหล่อเหล่า สวยแบบสากลหรืออินเตอร์

             บุคคลเหล่านี้ ย่อมมีบทบาท หรือพลังดึงดูดคนดู ทำให้เกิดค่านิยม เกิดแฟนขลับขึ้นมา เมื่อมองเพ่งพิจแล้วรู้สึกว่า สบายตา สบายใจ จนอยากอยู่ใกล้ชิด คุณสมบัติเช่นนี้แหละ ทำให้เราเอนเอียงหรือยอมรับรัศมีและอำนาจทางจิตใจและสายตา ที่อยากดุู อยากชม อยากพูดคุยด้วย จนกลายเป็นจุดเด่นของสังคม ชุมชนได้ แล้วท่านมีลักษณะอย่างนี้หรือไม่

             ๒) "อำนาจกำลังในกาย" (Energy) หมายถึง พลังงานในร่างกายของแต่ละคน ไม่เท่ากัน แล้วแต่มวลกายหรือความสูง ต่ำ หรือวัยเด็ก ผู้ใหญ่ และเพศ ปกติผุ้ชายจะมีพลังงานทางกายมากกว่าเพศหญิง หรือคนที่ร่างกายใหญ่โต อาจมีพลังงานมากกว่าคนทั่วไป นั่นหมายความว่า ลักษณะของคนที่มีมวลกายใหญ่หรือมีกายสูงใหญ่ ย่อมมีแนวโน้มได้รับความไว้ใจหรือเป็นผู้นำ เพราะสามารถใช้รูปร่างท้าทายกับคนอื่นได้

             บุคคลเหล่านี้ โดยพื้นฐานแล้ว ย่อมมีพลังงานที่จะสร้างสรรค์งานต่างๆ ได้ดี เช่น ทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพ อดทน บึกบึน จึงทำให้บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรง ใหญ่โต มีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับในการนำพากลุ่ม ชุมชน เหมือนสัตว์ที่ต้องการผู้นำที่แข็งแรง ย่อมได้รับการไว้วางใจ บุคคลเหล่านี้ จึงสามารถแสดงอำนาจหรือความได้เปรียบออกมา เคยสังเกตสุนัข ๔-๕ ตัวที่เลี้ยงไว้รวมกัน มักจะมีตัวใดตัวหนึ่ง คอยข่มขู่ โค่นอำนาจตัวอื่น ให้ยินยอมหรือสยบตนเองได้ จนกลายเป็นจ่าฝูง แน่นอน เราแตกต่างสัตว์ แต่ความเข้มแข็ง ทั้งกาย ใจ สติปัญญา และอารมณ์ คือ คุณสมบัติที่ยอมรับกัน

             ๓) "อำนาจทางสติปัญญา" (Intelligence) หมายถึง ความสามารถในการใช้สติ ใช้ปัญญา ของตนในคราวเผชิญปัญหา สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสุขุม รอบคอบ มองปัญหาออก มีสุทัศนคติต่อปัญหาต่างๆได้ การใช้สติปัญญา เป็นวิธีการที่สะท้อนให้เห็นความมั่นคงทางปัญญา และอารมณ์ได้อย่างชัดเจน ไม่แสดงอาการโวยวาย รำพึง รำพันต่อปัญหา สาเหตุ หรือบุคคลที่สร้างปัญหา ทำให้คุณสมบัตินี้ โดดเด่นในทางสังคม ผู้นำชุมชน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับความไว้วางใจ ในการแก้ปัญหาต่างๆ

              เส้นทางของการแก้ปัญหาในสังคมมนุษย์ทุกโซนของโลก ต้องการคุณสมบัติ บุคคลที่มีอำนาจทางปัญญาในลักษณะนี้ทุกที่ เช่น สหประชาชาติ หรือองค์กรต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสงคราม ข้อพิพาท ฯ ล้วนต้องการอำนาจทางปัญญาแบบนี้ เพราะสะท้อนให้เห็นความสุขุมรอบคอบของการแก้ปัญหา และการแก้ไขแบบมั่นคง ถาวร อันเนื่องมาจากมุมมองการคิดแบบมีเหตุ มีผล มีแผน มีหลักการ อย่างถี่ถ้วน เรามีอำนาจหรือคุณสมบัติเช่นนี้บ้างหรือไม่

             ๔) "อำนาจทางจิต" (Spiritual Power) หมายถึง คุณธรรม ความดี ความงาม ตลอดจนคุณสมบัติทางอารมณ์ และรวมไปถึงคุณสมบัติทางญาณวิเศษ ที่ได้รับการฝึกฝนมาจนเกิดเข้มแข็ง คุณสมบัติเหล่านี้ เป็นคุณธรรม ที่จะเป็นเครื่องสนับสนุนทางจิตใจ ให้ประกอบกิจการต่างๆ เป็นไปในทางที่ดี ที่ชอบเป็นธรรม และอาจกลายเป็นคุณสมบัติที่ดึงดูด ให้ผู้อื่นเข้าใกล้ได้อย่างอบอุ่นใจ หรือสบายใจ ร่มเย็น สุขใจไปด้วย นี่คือ รัศมีแห่งความเมตตา อารีย์ ที่เกิดมาจากจิตใจ ที่ฝึกฝนตนให้เกิดอำนาจใจขึ้นมา

             คุณสมบัติเหล่านี้ ส่วนมากเราจะพบกับพระอริยสงฆ์หรือผู้ปฏิบัติธรรม ที่แผ่รัศมีธรรมให้แก่บุคคลทั่วไป หรือผู้ปฏิบัติตน ที่ไม่ยึดเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน หรือแสวงหาประโยชน์ตน เช่น ศาสดา ในหลวง ผู้นำชุมชน ผู้นำครอบครัว ฯ ที่มีจิตสาธารณะ ลักษณะเหล่านี้คือ อำนาจิต ที่สะท้อนออกมาอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ในสังคมปัจจุบันก็ตาม แต่สามารถเป็นแบบอย่างให้เราได้

            ๕) "อำนาจเสียง" (Melodious Voice) หมายถึง พลังเสียงที่มีเสน่ห์ เสียงมีความไพเราะ ที่สามารถดึงดูดคนฟังได้ เรียกว่า เสียงหล่อเสียงหวาน เช่น นักร้อง นักพากษ์ พิธีกร ฯ รวมไปถึงพลังเสียงที่ดังกังวาน เสียงนุ่มนวน คุณสมบัติของบุคคลเหล่านี้ มีอำนาจต่อการรับฟัง หรือน่าสนใจ เราเคยสังเกตหรือไม่ เวลาได้ยินเสียงใครที่ไพเราะ ชวนฟัง มันน่าประทับใจแค่ไหน นั่นคือ พลังงานต่อการชวนเชื่อ โน้มน้าว หรือดึงดูดให้เกิดความใส่ใจได้

             พลังอำนาจเหล่านี้ สามารถสร้างจินตนาการ สร้างความอ่อนโยน สร้างสรรค์ ในการทำงาน การเจรจาต่อรองได้ เป็นเสมือนพลังต่อใจ คนอื่นได้ โดยพื้นฐาน ทุกคนมีเสียงเป็นเอกลักษณ์ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ละคนก็มีพลังอำนาจเสียงในแต่ละรัศมี เช่น เสียงพ่อแม่ เสียงลูกๆ เสียงหนุ่มๆ เสียงสาวๆ เสียงธรรม ฯ ล้วนเป็นพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราได้ แต่ละวันท่านหลงเสียงหรือได้ยินเสียงใคร เสียงอะไร เสียงสัตว์ใด ฯ ที่มีพลังอำนาจต่อจิตใจ จนอ่อนไหวได้บ้าง

             ๖) "อำนาจต่อต้าน" (Resistance) หมายถึง พลังอำนาจในตัวเองภายใน ที่สามารถรับหรือต่อต้าน ต่อแรงเสียดทานได้ เป็นพลังการประนีประนอม การยืดหยุ่น การแก้ปัญหาในตัวเอง เราทุกคนย่อมมีพลังอำนาจทุกคน แต่อาจแตกต่างกันด้านปริมาณหรือคุณภาพได้ เนื่องจากว่า มีพื้นฐานมาต่างกัน บางคนอาจมีโลกส่วนตัว หรือมีขีดจำกัดในการถูกยุแหย่หรือยั่วยุ บางคนอาจอดทน ต่อต้านต่อแรงกระทำ หรือพฤติกรรมที่ซ้ำๆ ซากๆ ได้  

             พลังอำนาจของใครมีมาก ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อการพัฒนาหรือสร้างไมตรีต่อคนอื่นได้ ซึ่งปัจจุบันนับว่า มีปัญหามากในอำนาจนี้ เพราะมีแต่ผู้แสดงอำนาจออกมา ไม่ค่อยมีผู้แสดงอำนาจต่อต้านเชิงสร้างสรรค์ในใจ จึงทำให้มนุษย์เกิดความเครียด เพราะต้องรับรู้ปัญหาของคนอื่นสม่ำเสมอ นี่คือ พลังอำนาจในการบริหารกิจการต่างๆ มิใช่ใช้อำนาจแบบดุด่า ว่าตำหนิตลอด

             ๗) "อำนาจความสำเร็จ" (Success) หมายถึง พลังอำนาจที่ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ เป็นอำนาจที่ต่อรองกับผู้ยังไม่สำเร็จได้ ความสำเร็จ คือ จุดหมาย เป้าหมายของผู้คนที่ลงมือกระทำสิ่งใดๆ หรือการทำงาน การศึกษา การทำธุรกิจต่างๆ เมื่อเรายังไม่สำเร็จ อำนาจคำพูด ข้อคิด คำสั่ง ดูเหมือนไม่ค่อยมีผู้คนสนใจ หรือเอาใจ เมื่อสำเร็จแล้ว มีผู้คนเห็นเป็นที่ประจักษ์ ย่อมสร้างอำนาจขึ้นในตัวเอง เช่น มีคนอยากพบปะ อยากฟัง อยากคุยด้วย เห็นความสำคัญของเราทันที

              นี่คือ พฤติกรรม ที่นำไปสู่การสร้างอำนาจได้เช่น คุณอิชิตัน ย่อมมีคนอยากพบ อยากได้คำชี้แนะ พุดอะไรก็มีค่า มีความสำคัญ หรือนายกฯ เมื่อพูด กระทำสิ่งใด ย่อมมีพลังอำนาจขึ้นมาทันที หรือใครก็ตามที่แข่งขัน ลงมือทำสิ่งใด เมื่อสำเร็จแล้วย่อมมีค่าต่อการพูดถึง เห็นชัดเจนคือ ความสำเร็จด้านการศึกษา เมื่อจบแล้ว ย่อมมีอำนาจในตัวเองขึ้นมาได้ อาจกลายเป็นคนดัง คนเด่นได้เพียงข้ามคืน จากนั้น เราจะเลือกว่า จะใช้สิทธิ ใช้อำนาจ ใช้ความเด่นดังเป็นเครื่องมือต่อรองได้อย่างไร

              ๘) "อำนาจความมุ่งมั่น" (Earnestness) หมายถึง พลังในความตั้งใจ ที่จะทำสิ่งใด หรือมุ่งมั่นในกิจการอะไรก็ตาม จนกลายเป็นการทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เพื่อกระทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ จนไม่มีใครกล้าทัดทานหรือหักห้ามได้ ความมุ่งมั่นนี้ เป็นคุณสมบัติของคนเราที่จะสร้างอำนาจ หรือความจริงใจของตน ให้คนอื่นรู้ว่า เรามีเอกภาพทางจิตใจที่จะกระทำสิ่งใด ให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้ นั่นคือ จุดแข็ง จุดเด่นของเราที่จะสร้างอำนาจในตัวเองให้เกิดภาพพจน์ที่ดีต่อผลงานได้

             ตรงกันข้าม บุคคลที่ไม่มีความมุ่งมั่นในกิจการใดๆ ทำได้ประเดี๋ยวเดียว ก็ทนไม่ได้ ไม่มุ่งมั่น ไม่เข้มแข็ง ทิ้งกลางคันเสีย ย่อมสะท้อนให้เห็นอำนาจทางจิตใจว่า ไม่เข้มแข็งพอ ทำงานเหมือนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ยากที่จะสร้างอำนาจให้ตัวเอง หรือยากที่จะหาใครมองเห็นอำนาจนี้ได้ เราเคยท้อแท้ ท้อถอยหรือไม่ หากเราทำเช่นนั้น นั่นคือ เรากำลังถอนอำนาจตนเองออก

             ๙) "อำนาจจากคนอื่น" (Assigment) หมายถึง พลังอำนาจที่ได้รับมาจากคนอื่น นอกจากอำนาจที่เรามีอยู่ในตัว เรายังมีอำนาจ มีพลังมาจากคนอื่นอีกกด้วย อำนาจนี้มีพลังให้คุณ ให้โทษ เพราะว่า อาจเสี่ยงต่อการถูกทำลายตนเองหรือคนอื่นได้ หากไม่รู้จักใช้อำนาจอย่างสุขุมรอบคอบ เช่น อำนาจจากนายกฯ ผู้นำ ผู้บริหารต่างๆ ตำแหน่งต่างๆ ล้วนได้รับการแต่งตั้งจากผู้บังคับบัญชาทั้งสิ้น หรือได้รับมาจากมวลชน เป็นอำนาจที่มีพลัง และมีโทษในตัวเองได้

            ฉะนั้น อำนาจนี้เป็นอำนาจที่ไม่ค่อยมั่นคง ไม่แน่นอน เพราะเป็นตำแหน่งที่ต้องผลัดกันครอง ตามกาลเวลา หากใครหลงอำนาจนี้ ย่อมจะทำให้ตนเองหมดอำนาจได้เช่นกัน เนื่องจากเขาไม่ได้มีอำนาจเอง หากแต่ถูกแต่งตั้ง แล้วใช้อำนาจตามตำแหน่งนั้น หากใช้ไม่เป็น ไม่ยุติธรรม ก็จะถูกถอดถอนได้ พึงสังวรว่า อำนาจนี้จะเข้มแข็ง มั่นคง แน่นอน ต้องสร้างอำนาจอื่นๆ ที่มีอยู่ในตนเองให้เกิดขึ้นมาสนับสนุนอำนาจนี้ เพื่อให้เกิดผลงานแก่ประชาชนหรือกลุ่มชนนั้นๆ

             ๑๐) "อำนาจในกลไกกาย" (Body System) หมายถึง อำนาจที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เป็นอำนาจที่เป็นไปตามระบบกลไกของธรรมชาติ ที่มนุษย์และสัตว์ต้องแก้ไข จัดการบริหาร บำบัดอยู่เสมอ เพื่อมิให้อำนาจอื่นๆ เสียหาย อำนาจที่ว่านี้ เกิดจากอวัยวะของร่างกาย เช่น ปอด หัวใจ กระเพาะ การปวดท้องหนัก เบา สัญชาตญาณ หิว ง่วงนอน โรค มีท้อง ฯ กลไกของการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ มันบังคับ มันกำหนดให้เราต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้น ระบบอื่นๆ จะเสียหายไปด้วย

             หากอำนาจหรือพลังเหล่านี้เกิดขึ้น เราสามารถอ้างได้ว่า เราจะปลดเปลี้องแรงขับ แรงดันเหล่านี้ให้ออกไป นั่นคือ เหตุผลที่น่าเชื่อถือจากคนทั่วๆ ไปที่ยอมรับว่า นี่คือ พลังธรรมชาติที่เราต้องเคารพและบำบัดเสีย แต่มันอาจเป็นอำนาจแอบแฝงด้วยตัวเราได้ หมายความว่า เราอาจอ้างว่า ร่างกายมีปฏิกิริยาอย่างใด อย่างหนึ่ง แล้วเราอ้างว่า เราจะไปปลดเปลื้องเสีย ซึ่งร่างกายมิได้เป็นเช่นนั้น อำนาจเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่นได้

             ดังนั้น เรามีอำนาจในตัวเองทุกคน อยู่ที่ว่าเราจะนำเอาอำนาจหรือพลังใด แสดงออกมาให้เป็นที่ดึงดูดคนอื่น หรือเราอาจใช้เป็นมายาลวงกันเอง ข่มกันเอง หรือท้าทายกันในสังคม ซึ่งปัจจุบันดูเหมือนกำลังดุเดือดขึ้นทุกวัน จนเหมือนจะใช้อำนาจบางส่วนของร่างกายแสดงความดุร้าย หรือรุนแรงต่อกันได้ หรือหากไร้อำนาจก็จะหาอำนาจมืด อำนาจจากเทพ ผี ไสยศาสตร์ เผด็จการ ฯ มาท้าทายกัน แล้วนั่นจะพ้นอำนาจกรรมกระนั้นหรือ

             อย่าลืมว่า ทุกคนมีพลังงานพื้นฐานนี้ทุกคน ซึ่งอาจใช้ไปในทางที่ดี หรือไม่ดีก็ได้ อยู่ที่ว่าใครจะเห็นพลังงานแบบสร้างสรรค์หรือทำลายหรือจะใช้ไปแบบพลังงานหรือพลังโง่ละครับ

-------------------<๑๐-๔-๕๗>-------------------

คำสำคัญ (Tags): #อำนาจ#พลัง
หมายเลขบันทึก: 565847เขียนเมื่อ 10 เมษายน 2014 14:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน 2014 15:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

...ทุกๆๆอำนาจ ....มีพลังนะคะ ... ขอบคุณค่ะ

อ่านแล้วนำมาเทียบกับตัวเอง ได้หลายข้อนะคะ คริ ๆ ๆ ขอบคุณค่ะ

ขอบพระคุณขุมคลังความรู้ที่กรุณาแบ่งปันนะคะ

ไม่ได้เยี่ยมบันทึกท่านและกัลยาณมิตรนานมากแล้ว

แต่คิดถึงทุกๆ ท่าน ทะยอยย้อนหลังอ่านกันไปค่ะ

ตั้งแต่เด็กๆ มาถึงป่านนี้ค่ะ ทุกๆ ครั้งที่อยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ หรือที่ใดก็แล้วแต่

รู้สึกได้ว่าจะมีคนมองตลอด มิใช่เพราะรูปลักษณ์แต่อย่างใด แต่อาจจะเป็นความเปิ่นก็ได้เป็นคุณสมบัติพิเศษค่ะ

555

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท