การเมืองไทยใครๆ ก็วิเคราะห์ได้

ปัญญา.......หรือ...........การเมือง?

สิ่งที่ทำมาทั้งหมดตลอดระยะเวลา 3 เดือน ไม่ใช่นักวิจารณ์การเมือง สิ่งที่ทำเป็นกระบวนการทางปัญญา คือการใช้สติปัญญา ใช้หลักคิด ใช้กรอบวิธีคิดที่เรามี และใช้แก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิต ก็เลยเอาเข้ามาลองใช้กับการเมืองดู และก็อ่านเกมส์การเมืองวิเคราะห์ออกมาอย่างที่เห็น ใช้หลักคิดที่ว่า มองจากระยะไกลใช้คอมม้อนเซ็นต์ คือไม่มีความจำเป็นต้องรู้ข้อมูลเชิงลึก เพราะถ้าสมมุติฐานที่ว่า ถ้าเข้าใจการเมือง ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเท่านั้น คนทั่วๆ ไปก็คงจะไม่สามารถเข้าใจการเมืองได้ แต่จริงๆ การเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน และทุกคนก็สามารถเข้าถึงได้ด้วยใช้คอมมอนเซ็นต์ และกรอบวิธีคิดที่ถูกต้องเท่านั้นเอง บางคนพอพูดการเมือง ก็ชอบยัดเยียดข้อมูลเชิงลึกให้ผู้อื่น แต่ไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังจมอยู่กับข้อมูลเชิงลึกในท้องทะเลลึกจนมองไม่เห็นอะไรต่างหาก

การใช้กระบวนการทางปัญญาในความหมายในที่นี้ หมายถึง การใช้หลักคิด เพื่อเข้าไปวิเคราะห์การเมือง ซึ่งจริงๆ หลักคิดเหล่านี้มีหลายแนวคิด (Paradigms) ขึ้นกับว่าเราจะพิจารณาเรื่องอะไร และต้องใช้แนวคิดแบบไหน สำหรับเรื่องการมองการเมืองเราใช้ Analytical thinking เป็นหลัก และจะไม่ใช้โหมดความดี-ความชั่วเป็นหลัก เพราะการเมือง มันเป็นเรื่องการชักจูง การโฆษณาชวนเชื่อ แน่นอนถ้าเราไม่รู้ทันมัน เราก็ตกเป็นเหยื่อการเมืองได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่อยู่ในข้อเขียนของดิฉันทั้งหมด บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องการโน้มน้าวผู้อื่นในเชิงการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจตนาของฉันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงเลย ไม่ได้ต่อสู้ทางการเมือง แต่จากประสบการณ์ในชีวิต พบว่าคนส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะแยกแยะว่าอะไรคือปัญญา อะไรคือความลุ่มหลง ดิฉันจึงลองตั้งสมมุติฐาน วิเคราะห์ และเขียนขึ้นมา เพื่อที่จะค้นหาว่าทำไม คนส่วนใหญ่จึงเป็นเหยื่อการโฆษณาชวนเชื่อในเชิงการเมืองง่ายดายถึงขนาดนั้น และที่สำคัญดิฉันกำลังต่อสู้กับวิกฤติการณ์ทางปัญญาของคน ซึ่งเป็นผลของวิธีคิดของคนที่ไม่ครอบคลุมทุกด้านและทุกมุม ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน การที่ไม่พยายามที่จะเข้าใจคนอื่นในสิ่งที่เค้าเป็น ถ้าตัวเองถูก คนอื่นผิด หรือคนที่คิดไม่เหมือนตัวเองผิดหมด ทุกปัญหาในโลกมีคำตอบเดียว หรือมีกรอบของความหลากหลายในคำตอบแคบเกินไป ทำให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยไม่จำเป็น ทั้งหมดคือการที่เราไม่ใช้หลักคิดที่เหมาะสมเข้าไปช่วยในการคิดและแก้ปัญหา สิ่งที่อธิบาย ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะมันต้องมีฐานการคิดที่สะสมมาเป็นเวลานาน

ความจริงดิฉันก็ไม่ใช่เป็นนักเขียน หรือนักวิจารณ์การเมืองแต่อย่างใดเลย และก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นเช่นนั้นด้วย แต่เรื่องการเมืองครั้งนี้ ดิฉันนำมาเป็นกรณีศึกษาเท่านั้นเอง และได้ข้อสรุป กลั่นออกมาเป็นข้อเขียน พอที่จะเป็นประโยชน์ได้บ้าง จึงขอนำมาแลกเปลี่ยนกันเพื่อเรียนรู้ ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดหรือถูกตายตัว แต่อย่างน้อยอาจจะช่วยกระตุ้นต่อมปัญญาของคนไทยให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

ขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคน ที่ช่วยกันโต้แย้งในเฟสบุ๊ค (บางคนเลิกเป็นเพื่อนไปแล้ว) ที่ให้ความคิดเห็นทั้งที่แตกต่างหรือที่เป็นไปในแนวเดียวกันก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น นี่แหละคือบรรยากาศประเทืองปัญญาอย่างแท้จริง

6 เมษายน 2557