อินโดนีเซีย ดินแดนแห่งภูเขาไฟ และพุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก


เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2557 ดิฉันได้มีโอกาสไปราชการที่เมืองย็อกยาการ์ตา เกาะชวา ประเทศสาธารณรัฐอินโดนีเซีย การไปครั้งนี้เพื่อไปร่วมประชุมวิชาการ

โดยไปกับคณะผู้บริหารของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรเพื่อเจรจาพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการกับคณะภาษาและศิลปะ มหาวิทยาลัยย็อกยาการ์ตา

ตั้งแต่ก่อนไปก็มีความตื่นเต้นมาตลอก ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการเดินทาง เพราะได้ข่าวว่า สายการบินภายในประเทศจะย้ายจากสนามบิน ซูการ์โน ฮาตตา ไปที่สนามบิน ฮาลิม ซึ่งอยู่ห่างกันถึงกว่า 40 กิโลเมตร ประมาณสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เพื่อนอาจารย์และลูกศิษย์ชาวอินโดนีเซียก็ต่างช่วยกันหาข่าวว่า ต้องเดินทางระหว่างสนามบินหรือเปล่า ต้องเปลี่ยนสายการบินกันยกใหญ่ วางแผนกันวุ่นหลายตลบทีเดียวว่าจะบินสายการบินอะไรดีที่จะพอเผื่อเวลาให้เดินทาง เผื่อหลง ทางเลือกที่เหลือคือ แอร์เอเชีย และการูด้า  โชคดีได้ข้อสรุปว่า สายการบินไทยและแอร์เอเชีย จะยังขึ้นลงที่เดิม เลยเลือกแอร์เอเชีย เพราะราคาถูกกว่า และพอมีเวลาระหว่างเครื่อง

จากนั้นไม่นานก็มีข่าวว่า ภูเขาไฟเคลุด ระเบิด พ่นเถ้าถ่านมาไกลถึงเมืองย็อกยาการ์ตา ทำให้สนามบินของเมืองที่ชื่อว่า อาดิ ซูจิบโต ต้องปิดทำการเป็นสัปดาห์
มีการลงรูปโชว์จากคนรู้จักในเฟสว่า เมืองปกคลุมด้วยเถ้าถ่าน ดิฉันก็ลุ้นอีกแล้ว จะได้ไปไหมหนอ สนามบินจะใช้การได้ไหมหนอ แต่สถานการณ์ก็คลี่คลาย เดินทางได้ทัน


พอถึงวันเดินทาง จากสนามบินสุวรรณภูมิไปถึงจาการ์ตาก็เรียบร้อยดี มีโดนหลอกค่าบอกทางให้พาไปขึ้นรถชัทเทิลเชื่อมต่อระหว่างเทอร์มินัลสนามบินเล็กน้อย เสียไปคนละหนึ่งเหรียญ ถือว่าเป็นค่าเจ้าที่เจ้าทาง (ฮา)


นามบินซูการโน ฮาตตา เทอร์มินัล 3


ไปถึงเทอร์มินัลที่ 3 มีเสียค่าภาษีสนามบินเล็กน้อย คนละ 40000 รูเปีย คิดเป็นเงินไทยร้อยกว่าบาท อัตราประมาณ 357 รูเปียต่อ 1 บาทไทย เราก็ขึ้นเครื่องแอร์เอเซียต่อไปที่ย็อกยาการ์ตา ระหว่างทางไปสภาพอากาศก็โปร่ง แดดจัด

  

 

พอจะถึงนั่นแหละ เริ่มมีเมฆฝน อากาศเปลี่ยน ทั้งๆที่เวลาบินแค่ชั่วโมงเดียว สักพักหลังจากวนได้สามรอบ กัปตันก็ประกาศว่า ตอนนี้ที่เมืองย็อกยาการ์ตา ฝนตกหนัก สนามบินปิด ต้องบินวนรอจนกว่าสนามบินจะเปิด แถมมองไปข้างนอกหน้าต่าง เห็นเครื่องบินหางสีฟ้า บินสวนทางกลับไปตั้ง 2 ลำ กัปตันบินวนไปเรื่องๆ จนเราเห็นชายทะเลได้ประมาณ เจ็ดรอบ อีกสักพักก็ประกาศอีกว่า ยังเอาเครื่องลงไม่ได้เท่านั้นแหละ ใจคอก็เริ่มจะไม่ดี เมฆฝนก็มีทีท่าว่าไม่จางลงเลย

 

 

แล้วในที่สุดก็ต้องควักเอากรุพระเครื่องของขลังสารพัดที่นำติดตัวมา สวดมนต์ภาวนาขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ได้ลงจอด  ท้ายที่สุด เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง กัปตันก็ฝ่าเมฆฝน เอาเครื่องลงจอด มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าปิด ฝนยังตกหนัก แต่กับตันก็เอาเครื่องลงได้ ดีใจสุดๆ พอมาถึงสนามบินก็พบกับอาจารย์และนิสิตมารอรับ และเล่าให้ฟังว่า สายการบินการูด้า หางสีฟ้าที่เราเห็นบินสวนกลับไป นั่นแหละ ยกเลิกการเดินทางและบินกลับจาการ์ตาไป พระเจ้า มันจะโชคอะไรขนาดนั้น เกือบซื้อตั๋วการูด้าอยู่แล้ว ถ้าไม่เลือกแอร์เอเชียคงไม่ได้ลงจอด แม้จะดีเลย์จากกำหนดการไปสองชั่วโมง แต่ถึงอย่างปลอดภัย

 

  

วันแรกในการเข้าร่วมประชุมวิชาการ งานที่เขาจัดดูมีระเบียบเรียบร้อยมาก เป็นห้องสัมมนาเล็กๆ ที่อบอุ่น แต่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่บ้านเขาเรื่องงานวิชาการดูทุกคนกระตือรือร้น ถามคำถาม แลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างให้ความสนใจ สอบถามว่าเขาเข้าทำงานกันกี่โมง เลิกกี่โมง พบว่า มาทำงานกันตั้งแต่ 7.30 เลิก 17.30 เวลาทำงานเยอะกว่าบ้านเรากว่า สองชั่วโมง คนที่นี่ขยันเอาใจใส่อาจริงเอาจังกับงานมาก ทำให้นึกสะท้อนสังคมการทำงานที่บ้านเรา ค่านิยม สบายๆ คือไทยแท้ สงสัยทั้งอินโด ทั้งเวียดนาม เขานำเราไปไกลแน่ๆ

ของว่างที่เขาจัดนั้น เหมือนบ้านเรา แต่เขาไม่ค่อยดื่มกาแฟ ดื่มชาใส่น้ำตาล และไม่กินน้ำแข็งอย่างเรา ทั้งๆ ที่เป็นเมืองร้อนชื้น หาน้ำแข็งกินยากมาก คงมีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่กินน้ำแข็งกันแทบทุกมื้อ ขนมเบรกก็คล้ายๆ กัน แต่เป็นของว่างแบบเครื่องคาว อร่อยถูกปากไปอีกแบบ

เรื่องถนนหนทาง การคมนาคม น่าจะเป็นอย่างเดียวที่บ้านอาจจะเราดีกว่าบ้านเขา ถนนบ้านเราข้ามจังหวัดมีหกเลนแปดเลน บ้านเขาอย่างเก่งที่เห็นมีแค่สี่เลน การจราจรทางบกเราค่อนข้างดีกว่า รถที่นี่ติดมากเหมือนกัน มีรถเก๋งเกาหลี ญี่ปุ่น รถยุโรปมีน้อย แต่ลักษณะรถที่ใช้มักนิยมรถแฟมิลี่คาร์ กึ่งแวนกึ่ง SUV นั่งได้หลายคน

 

 

 แล้วก็ได้โอกาสไปเยือนสถานที่สำคัญของเมือง คือ วัดพราหมณ์ Prambanan  ก่อนมาเราก็ค้นคว้ามาก่อนแล้วว่า เมืองนี้มีอะไรน่าสนใจน่าไปบ้าง วัดพราหมณ์นี้สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 8 ลักษณะคล้ายๆ กับปราสาทหินนครวัด ของกัมพูชา เป็นวิหารของพระตรีมูรติ ได้แก่ พระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุ พร้อมด้วยวิหารพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม คือ ครุฑ วัว และหงษ์  ช่วงเวลาที่ไปนั้นฝนกำลังตก แต่เราก็คิดในใจฝนตกแดดออกฉันก็จะไป ฉันข้ามน้ำข้ามทะเลมาขนาดนี้แล้ว rain or shine I wanna go and see them all.

 


ที่น่าสังเกตุของผู้คนในเมืองนี้คือ ประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่พวกเขาเดินเข้าไปเที่ยวชมสถานที่ในวัดพราหมณ์วัดพุทธอย่างคุ้นเคย เนื่องจากสถานที่นี้เก่าแก่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา ไม่ได้เคร่งครัดในการเข้าชมแต่อย่างใด ดังนั้น นักเรียนชาวย็อกยาการ์ตาที่มาเรียนเมืองไทยก็จะเข้าวัดเที่ยวชมโบราณสถานสำคัญทางศาสนาเช่น อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ได้อย่างสบายใจและคุ้นเคย เพราะเมืองที่เขาอยู่นั้นมีความเจริญทางพุทธศาสนามาช้านาน แต่ด้วยสถาการณ์ทางการเมืองและศาสนาที่เปลี่ยนไป การนับถือศาสนาก็เป็นการดำรงตนอยู่ในสังคมปัจจุบันที่มีอิทธิพลต่อเขานั่นเอง


ตำนวนเล่าว่า วัดนี้สร้างขึ้นมาเมื่อราชวงศ์ที่ถือศาสนาฮินดูมีอำนาจขึ้นมา เพื่อแข่งบารมีกับวัดพุทธที่อยู่รอบๆ บริเวณใกล้กัน  เราเองก็นึกภาพว่าในอดีตตอนที่ศาสนาฮินดูยังรุ่งเรือง เวลามีผู้คนมาสักการะเทพเจ้า จะสวยงามอลังการขนาดไหน ตัววิหารที่เห็นพึ่งได้รับการบูรณะเมื่อศตวรรษที่ 18 นี้เอง ทั้งๆ ที่พังลงมาเกือบหมด จะเห็นได้ว่า ศาสนาสถานของประเทศนี้เขาบูรณะได้เยี่ยมยอด ด้วยเป็นเพราะอิทธิพลของการตกเป็นอาณานิคมมาก่อน ถึงได้บูรณะได้สวยงามเกือบสมบูรณ์ คนอินโดนีเซียก็เคารพสถานที่มาก แทบไม่มีขยะทิ้งให้เห็น สะอาดตามาก

 

 พอเราออกมาก็นั่งรถไปต่อที่วัด SEWU Candi  (Sewu แปลว่า จำนวนพัน)  (Candi  คำว่า แจนดิ แปลว่า วัด)  เป็นวัดพุทธที่อยู่ใกล้ๆ กัน ที่ได้ชื่อว่าวัดพัน เพราะมีวิหารเล้กๆ น้อยรายล้อมนับไม่ถ้วน เป็นหลักพัน

ก่อนเข้าไปในบริเวณเราก็สะดุดตากับ ทวารบาล หน้าตาถมึงทึง ตาถลน พุงหลาม เตี้ยล่ำ นั่งเฝ้าประตูวัด สืบค้นว่า มีชื่อเรียก คือ Dhavarapala / Gopala หรือ ทวารบาล นั่นเองจะเห็นได้ว่าในภาษาชวาหรือภาษาอินโดนีเซียมีคำที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายคำมากๆ เนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจากภาษาสันสกฤต ภาษาอินโดนีเซียเองก็ไม่ยากเกินไปที่จะเรียน ไปมาสี่วันได้มาหลายคำอยู่ หากอยู่สี่เดือนคงสนุกแน่ๆ วัดนี้ได้ลงแค่ถ่ายรูปเพียง 10 นาทีเท่านั้น จึงไม่ได้ศึกษารายละเอียดเท่าที่ควร

 

 ขากลับ มีจอดแวะร้านสะดวกซื้อข้างทาง เหมือนเป็นสวรรค์คือการได้เข้าไปช็อปเซเว่นของอินโด ชื่อ Indomart บางร้านเปิด 24 ชม ในร้านมีของขายเหมือนกันทุกอย่าง แค่ไม่มีของมึนเมานั่นเอง บ้านเราน่าจะจำกัดการขายในร้านสะดวกซื้อด้วย แม้จะจำกัดเวลาขายแต่มันก็เป็นเหตุการทะเลาะวิวาท ปล้นชิงทรัพย์ ทำร้ายพนักงานกะกลางคืนบ่อยๆ 

 

สิ่งที่เราเข้าไปดูอย่างแรกคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ราคาประมาณ 2000 – 5000 รูเปีย ราคาพอๆ กับบ้านเรา เลยลองซื้อมากิน ตามรูป ลองชิมแล้วรสเผ็ดอร่อยถูกปากดีมาก คิดว่าถ้ามาอยู่คงไม่อดตาย แถมมีกระทิงแดงอีกด้วย ขนมนมเนย สารพัด เสียดายไม่มีโอกาสเข้าไปดูตลาดสด เวลาไปไหนจะชอบเข้าไปดูตลาด เพราะจะสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่เรื่องปากท้องได้เป็นอย่างดี

 

วันสุดท้าย หลังจากเราเสร็จภารกิจด้านวิชาการแล้ว ก็ได้มีโอกาสไปเยือนวัดสำคัญทางพุทธศาสนาอีก 2 แห่งคือ วัด เมนดุด และ วัด บุโรพุทโธ วัดแรกก่อนถึงบุโรพุทโธนั้น เป็นวัดพุทธที่มีกฎิของพระสงฆ์นิกายมหายานอยู่ในบริเวณด้วย ภายในวิหาร ประดิษฐาน พระศากยมุนี และพระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร วิหารนี้เป็นวิหารที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จมาประพาส      ก่อนมาก็ศึกษาหาข้อมูลมาก่อนแล้ว ว่าเหตุใดรัชการที่  5 ท่านเคยเสด็จประพาสชวาถึง สามครั้งสามครา คงเป็นเพราะสมัยนั้น ชวาตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของดัตช์ หรือฮอลันดา ท่านคงมาศึกษาดูว่า มีความเจริญแบบฝรั่งอย่างไรจะได้นำไปใช้ในการพัฒนาบ้านเมืองเราบ้าง ดีกว่าการเดินทางไกลไปยุโรป

พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่นี้สวยงามอ่อนช้อยแต่สง่างามมาก เป็นศิลปะที่แปลกไปจากบ้านเรา เชิญทัศนาตามรูปนี้ค่ะ

  

 

เดินทางอีกเพียง 10 นาทีก็ถึง บุโรพุทโธ เป็นวัดที่สร้างบนเนินเขาธรรมชาติ เหมือนกับได้เดินขึ้นภูเขาลูกย่อมๆ  พอขึ้นไปสูงสุดก็จะเห็นทัศนียภาพรอบๆ เห็นภูเขาไฟเมอราปีอยู่ไม่ไกล ซึ่งภูเขาไฟนี้มีการระเบิดครั้งใหญ่เมื่อปี 2010 พ่นเถ้าถ่านมาไกลถึงบุโรพุทโธ 

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงเห็นความใหญ่โต และความปราณีตในการแกะสลักหินเป็นล้านๆก้อน ภาพแกะสลักรอบๆ พุทธสถานนี้เล่าเรื่องราวอัตชีวประวัติของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ต่างๆ  เดินชมเป็นวันก็ยังไม่หมด สถาปัตยกรรมการออกแบบก็เรียบง่าย สวยงาม แต่ใช้งานได้จริงอย่างเหลือเชื่อ มีระบบระบายน้ำตามแนวกำแพงในแต่ละชั้น ทำให้ไม่มีน้ำขัง แม้ว่าเราจะไปในช่วงเวลาที่แดดร้อน แต่มีสายลมโชยอยู่ให้ชื่นใจมาเป็นระยะๆ  เนื่องจากอยู่ใกล้ทะเลนี่เอง ความชื้นทำให้บริเวณรอบๆ ดูเขียวขจี ท่ามกลางทุ่งนาที่เป็นธรรมชาติโดยยังไม่มีการรุกรานจากรีสอร์ท หรืออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่าใดนัก

 

เวลาเราเดินชมบุโรพุทโธ ก็จะปฏิบัติเหมือนการเวียนเทียนรอบเจดีย์ คือ เวียนขวา ประทักษิณา Pradaksina    ใช้คำเดียวกับที่เราใช้ๆ กันเป๊ะ เนื่องจากเป็นภาษาสันสกฤต
บนชั้นที่เกือบจะถึงยอดเจดีย์ มีเจดีย์เล็กๆ รอบฐานขององค์เจดีย์ใหญ่ ข้างในบรรจุพระพุทธรูปปางสมาธิ เป็นมุมที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยที่สุด
อากาศบนยอดของบุโรพุทนั้นสดชื่น ท่ามกลางธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย สมแล้วที่มีอารยะธรรมเก่าแก่ยิ่งใหญ่ เพราะทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ผู้คนอยู่ดีมีสุข สามารถสร้างงานศิลปะด้วยศรัทธาอันแรงกล้าให้ยิ่งใหญ่เป็นมรดกโลกได้

ณ จุดนี้ ถือว่าได้มาถึงจุดหมายปลายทางอย่างแท้จริง



สิ่งก่อสร้างใดๆ ที่ยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วมิใช่ปาฏิหารย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่เป็นพลังใจ ความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ที่ต่อสู้กับอุปสรรคและธรรมชาติ สร้างสิ่งที่อยู่ในความคิดให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จหรือล้มเหลวได้อยู่ที่ความคิดของคนที่ลงมือทำ

  

ด้วยความช่วยเหลือจากหลายคนหลายฝ่าย และอาศัยความโชคดีหลายเรื่อง ที่ทำให้บรรลุตามเป้าหมายทุกประการ แทบไม่มีอุปสรรคอันใดเลย มีแต่ความประทับใจและซาบซึ้งในน้ำใจของมิตรต่างแดน ที่เหมือนเคยรู้จักกันมานาน

 

หมายเลขบันทึก: 564671เขียนเมื่อ 25 มีนาคม 2014 20:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม 2014 09:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

โชคดีจังอาจารย์ได้ไปราชการ

ผมก็เช็คข่าวตลอดครับตอนนี้ กำลังะเดินทางไป Yogya-Surabaya-Bali ช่วงกลางเดือน พค.57

หวังว่าช่วงนั้นคงไม่มี ภูเขาลูกไหนปะทุเถ้าถ่าน ออกมาครับ....เดียวไปตามรอยอาจารย์ที่จ๊อตยา ครับ

ต้องคอยเช็คข่าวนะคะ อินโดนีเซียจะมีเรื่องภูเขาไฟปะทุกับแผ่นดินไหวอยู่เรื่อยๆ แต่คนท้องถิ่นเขาชินแล้วเป็นเรื่องปกติค่ะ ขอให้ได้ไปอย่างราบรื่นนะคะ

โอโหอาจารย์อ้อม

ดูภาพแล้วสวยมาก เหมือนสารคดีท่องเที่ยวเลย

ไม่เคยไปที่นี่แต่ได้อ่านบันทึกอาจารย์แล้วอยากไปมาก

คงมีโอกาส

อาจารย์ครับ ทำ MOU เรื่องไหนบ้างครับ

ขอบคุณมากๆครับที่เล่าเรื่องดีๆให้อ่าน

อาจารย์พี่แอ๊ดคะ ขจิต ฝอยทอง

เป็นบุญมากๆ ที่ได้ไปเยือน ขอแนะนำค่ะว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปให้ได้ นอกจากพุทธคยาแล้ว บุโรพุทโธนั้นสวยงาม ยิ่งใหญ่ น่าศึกษามากๆ ค่ะ อาหารการกิน ผู้คน สินค้า วัฒนธรรม น่าตื่นตาตื่นใจมาก อยากกลับไปอีกสักสิบครั้ง

.... ได้เรียนรู้ ตามไปด้วยนะคะ .... ขอบคุณค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท